จะดีกว่าไหม ถ้าเราสามารถไปเที่ยวพักผ่อน เพิ่มพูนความรู้ และสร้างเสริมประสบการณ์ให้กับเด็กๆ ของคุณไปพร้อมๆ กัน
หากคุณพ่อคุณแม่ท่านไหน กำลังมองหาที่เที่ยว ที่นอกจากจะมีความสวยงามแล้ว ยังช่วยเพิ่มพูนความรู้ จินตนาการ สร้างเสริมประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับเด็กๆ อยู่ล่ะก็ ตามพวกเรามาทางนี้เลย
เรารวบรวม 50 ที่เที่ยวได้ความรู้ใน “ภาคตะวันออก” มาฝากเพื่อนๆ ทุกคน มีทั้ง เรือรบ พิพิธภัณฑ์ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ สวนผลไม้ เรื่อยไปจนถึงโครงการในพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9
พร้อมแล้วก็เก็บกระเป๋า สะพายกล้อง แล้วตามพวกเรามาเลย
1.เรือหลวงจักรีนฤเบศร
จะพลาดได้ไงกับการมาเที่ยวชม เรือหลวงจักรีนฤเบศร เรือบรรทุกอากาศยานลำเดียวของประเทศไทย
ช่วงไม่ได้ออกปฏิบัติภารกิจจะจอดพักอยู่ที่ท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ใกล้หาดนางรำนางรอง ใครขึ้นไปแล้วจะต้องร้องโอ้โหในความใหญ่โตโอ่อ่า จินตนาการได้เลยว่าเวลาแล่นออกไปทำหน้าที่กลางทะเลจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน
การเข้าชมมีกฎระเบียบเคร่งครัดสักหน่อย รวมถึงสาวๆ ต้องแต่งตัวสุภาพ ห้ามเสื้อเปิดไหล่ เอวลอย คอกว้าง ห้ามกางเกงขาสั้นกระโปรงสั้น ส่วนรองเท้าแตะสวมได้ไม่มีปัญหา การถ่ายรูปทำได้ปกติในพื้นที่ที่กำหนด แต่ห้ามบันทึกวิดีโอ
ไม่มีค่าเข้าชม อนุญาตให้เข้าเฉพาะชาวไทยและต้องแสดงบัตรประชาชน
ที่ตั้ง: ภายในท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
เวลาเปิดปิด : ทุกวัน 9.00-17.00 น. ยกเว้นกรณีเรือออกปฏิบัติภารกิจ
2.ฟาร์มปลาการ์ตูน เพอร์คูล่า ฟาร์ม
อาจไม่ใช่สถานที่เที่ยวแบบจริงจัง เพราะเป็นฟาร์มปลาการ์ตูนเอกชนซึ่งมีจุดประสงค์คือเพาะพันธุ์ปลาสำหรับเพื่อจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ แต่ก็เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมความน่ารักของปลาการ์ตูนมากกว่าสิบสายพันธุ์ รวมถึงสายพันธุ์ที่พบไม่ได้ในทะเลไทย
สภาพสถานที่เป็นบ่อเลี้ยงคอนกรีต ไม่ได้จัดแสดงเหมือนพิพิธภัณฑ์ แต่ถึงอย่างนั้นปลาการ์ตูนพวกนี้ก็ยังน่ารักน่าชม แถมค่าเข้าไม่แพงเลย อยู่ที่บ้านช่องแสมสาร ตำบลแสมสาร ทางไปพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติฯ
ที่ตั้ง: บ้านช่องแสมสาร ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
เวลาเปิดปิด : ทุกวัน 08.30-17.00 น.
ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท
โทรศัพท์ : 08 1439 3998
3.พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทย
บอกชื่อพิพิธภัณฑ์ฯ บางคนอาจสงสัยว่าอยู่ที่ไหน แต่ถ้าบอกว่าเป็นที่ซื้อตั๋วไปเที่ยวเกาะแสมสาร หลายคนร้องอ๋อกันเลย โดยตัวพิพิธภัณฑ์เป็นอาคารจัดแสดงทั้งหมด 5 อาคาร บนเขาหมาจอ (ปัจจุบันเปิดให้ชม 3 อาคาร) ซึ่งเราจะต้องเดินไต่ระดับความสูงขึ้นเขาไปเรื่อยๆ จนถึงจุดชมวิวสูงสุดบนยอดเขา
ไฮไลท์ของที่นี่คือจุดชมวิวซึ่งจะมองเห็นอ่าวแสมสาร และบ้านช่องแสมสารทั้งหมด รวมถึงเห็น เกาะแรด เกาะแสมสาร เกาะขาม วางเรียงตัวกันอยู่กลางทะเล บอกเลยว่าสวยอันซีนห้ามพลาด เดินเหนื่อยนิดหน่อยแค่ 15-20 นาที แต่คุ้มทุกเม็ดเหงื่อที่เสียไปแน่นอน
ที่ตั้ง: บ้านช่องแสมสาร ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
เวลาเปิดปิด : ทุกวัน 09.00-17.00 น.
ค่าเข้าชม ชาวไทย 50 บาท เด็ก 20 บาท ต่างชาติ 100 บาท
โทรศัพท์ : 0 3843 2475
4.ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล
อยู่ภายในหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เข้าได้หลายทาง ทั้งเชื่อมมาจากหาดดงตาล เข้าจากถนนสุขุมวิท หรือฝั่งแสมสาร แต่ต้องแลกบัตรประชาชนที่ป้อมรักษาการณ์ เพราะฉะนั้นเข้าทางไหนออกทางนั้น
ที่นี่มีบ่อเลี้ยงดูเต่าตะนุกับเต่ากระ เพื่อให้มีความพร้อมก่อนปล่อยกลับสู่ทะเล เป็นการเพิ่มโอกาสอยู่รอดของเต่าเหล่านี้ รวมทั้งมีโรงพยาบาลเต่าทะเล และพิพิธภัณฑ์ซึ่งสามารถเที่ยวชมฟรี เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ไปเยี่ยมน้องเต่าน่ารักๆ ก่อนต้องออกไปเผชิญโลกกว้างกัน
อนุญาตให้เข้าเฉพาะชาวไทย ต้องแลกบัตรประชาชนก่อนเข้าพื้นที่
ที่ตั้ง: ภายในหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
เวลาเปิดปิด : ทุกวัน 08.30-17.00 น. ไม่มีค่าเข้าชม
โทรศัพท์ : 0 3843 1477 (ฝ่ายกิจการพลเรือน) หรือ www.turtles.navy.mi.th
5.สวนนงนุช
สวนนงนุช เป็นที่เที่ยวสำคัญในโซนสัตหีบ-พัทยา มีกิจกรรมตลอดทั้งปี มีรีสอร์ตที่พักสะดวกสบาย มีห้องอาหาร ขณะที่สวนต้นไม้ สวนหิน สวนสร้างสรรค์ต่างๆ ยังคงร่มรื่นน่าชม สวนสัตว์ขนาดย่อมก็ดี สวนนกก็สุดยอด ใครอยากใกล้ชิดนกเงือกหลายสายพันธุ์มาที่นี่ไม่ผิดหวัง
ล่าสุดสวนนงนุชเปิดตัวโซนใหม่คือสวนไดโนเสาร์ นำเอารูปปั้นไดโนเสาร์ขนาดเท่าของจริงมาจัดแสดงหลายร้อยตัว รวมถึงรูปปั้นไดโนเสาร์สูงที่สุดในโลก ถ่ายรูปเพลิดเพลินและสนุกมาก
ที่ตั้ง : ตำบลนาจอมเทียน เข้าจากถนนสุขุมวิทประมาณ 3 กิโลเมตร
เวลาเปิดปิด : ทุกวัน 08.00-18.00 น. ค่าเข้าชมมีทั้งเฉพาะบัตรผ่านประตูและรวมกิจกรรมอื่นๆ
6.ปราสาทไม้สัจธรรม
ปราสาทไม้สัจธรรม ตั้งอยู่บริเวณแหลมราชเวช นับเป็นปราสาทไม้แกะสลักริมทะเลแห่งเดียวในประเทศไทย งดงามด้วยประติมากรรมแกะสลักลวดลายซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโลกทัศน์ ภูมิปัญญา คุณธรรมและปรัชญาของชาวตะวันออก เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2525 โดยคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งเมืองโบราณ สมุทรปราการ
ตัวปราสาทสัจธรรม สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ใช้ระบบเข้าเดือยหรือใส่สลักไม้แบบไทย นับเป็นงานสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมชั้นสูงแห่งศตวรรษ โดยนอกจากการชมความงดงามของปราสาทไม้สัจธรรมแล้ว ยังมีการแสดงรำไทยในเวลา 11.30 และ 13.30 น. อีกด้วย
ปราสาทไม้สัจธรรม
ที่ตั้ง : ซอยนาเกลือ 12 เมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
โทรศัพท์ : 0 3836 7227-30
เว็บไซต์ : www.sanctuaryoftruth.com
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00-18.00 น.
7.สวนเสือศรีราชา
สวนเสือศรีราชา จัดแฟมิลี่ทริปเอาใจคนทั้งบ้าน แนะนำให้พาไปเที่ยวสวนสัตว์ ซึ่งสวนเสือศรีราชาก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการทำความรู้จักและใกล้ชิดกับเจ้าแมวยักษ์ชนิดนี้ โดยที่นี่เป็นสถานที่เพาะเลี้ยงเสือเบงกอลไว้ถึงมากกว่า 200 ตัว ส่วนสัตว์ที่โดดเด่นอีกชนิดก็คือจระเข้นับพัน ที่เลี้ยงไว้ในระบบฟาร์ม
นอกจากนี้ยังมีส่วนของพิพิธภัณฑ์ช้าง และสวนสัตว์ที่มีสัตว์หาชมได้ยากทั้ง วัลบี จระเข้ งูหลาม ลิงอุรังอุตัง กวางดาว อูฐ ฯลฯ ส่วนกิจกรรมมีทั้งการแสดงโชว์ความสามารถของสัตว์ ทั้งช้าง เสือ จระเข้ หมู โชว์นางพญาแมงป่อง ไปจนถึงป้อนนมลูกเสือ, ถ่ายรูปกับเสือ, ป้อนนมปลาคาร์ฟ, เทศกาลแกะไข่จระเข้ และอีกมากมาย
ที่ตั้ง : ต.หนองขาม อ.ศรีราชา จ. ชลบุรี
เวลาเปิดปิด : 08:00-18:00 น. ทุกวัน
โทรศัพท์ : 038 296 556-8
8.Rubber Land
Rubber Land พิพิธภัณฑ์ที่เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องยางพาราที่เข้าใจง่าย และได้ความสนุกไปในตัว สมกับที่เมืองไทยเป็นผู้ส่งออกยางพาราอันดับต้นของโลก โดดเด่นตั้งแต่ตัวอาคารทาสีสันสดใส
ภายในแบ่งเป็น 4 โซน ตั้งแต่โซนป่ายาง ที่จำลองสวนยางสไตล์แฟนตาซี เล่าตั้งแต่ปลูก กรีดยาง จนมาเป็นโซนแปรรูปยาง บอกเล่าถึงกระบวนการผลิตยาง ยางแผ่นเกรดต่างๆ โซน 3 เกี่ยวกับยางในชีวิตประจำวัน จะได้ละลานตากับของใช้ต่างๆ ที่ทำจากยางพารา รวมทั้งสื่อเสมือนจริงที่ฉายบนรถยนต์จำลอง เล่าถึงชิ้นส่วนรถยนต์ซึ่งใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบ
และโซน 4 หรือโซนมหัศจรรย์ยางพารา ที่สมมติว่า “ถ้าโลกนี้มีแต่ยาง” เรียกว่าโซนนี้ใครพาเด็กๆ มาด้วยจะต้องถูกใจเพราะมีทั้งบ่อลูกบอลหลากสี เมืองขนมหวาน โลกใต้ทะเล และสไลเดอร์ที่สามารถลื่นจากชั้นบนลงมาชั้นล่างแทนบันได ปิดท้ายด้วยโซนสินค้าที่ระลึก ที่น่าสนใจก็คือที่นอนและหมอนทำจากยางพาราสุดนุ่มนั่นเอง
ที่ตั้ง : พัทยากลาง ถ.สุขุมวิท อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
เวลาเปิดปิด : 11:00-18:00 น. ทุกวัน
โทรศัพท์ : 038 413 490-5
9.สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำระยอง
สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำระยอง อควาเรียมขนาดใหญ่อยู่ไม่ไกลจากหาดบ้านเพ เป็นแหล่งเรียนรู้และจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำให้เข้าชมได้อย่างใกล้ชิด แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนจัดแสดงพันธุ์สัตว์ทะเลมีชีวิต ส่วนจัดแสดงนิทรรศการด้านการประมง และพิพิธภัณฑ์เปลือกหอย
ภายในมีทั้งตู้แสดงปลาทะเลต่างๆ บ่อแสดงพันธุ์ปลาผิวน้ำ บ่อกลางแจ้งแสดงระบบนิเวศน์ใต้ทะเล บ่อเต่าทะเล และไฮไลท์ก็คืออุโมงค์กระจกยาว 10 เมตร ที่สามารถชมสัตว์ทะเลว่ายไปมารอบตัวได้อย่างใกล้ชิด เช่น ปลากะเบนนก ปลากะรัง ปลาโมงตาโต ปลาหูช้าง ปลานกแก้วสีเพลิง และอีกมากมาย
ที่ตั้ง : ต.เพ อ.เมืองระยอง จ.ระยอง
เวลาเปิดปิด : พุธ-ศุกร์ 10:00-16:00 น. เสาร์-อาทิตย์ 10:00-17:00 น. ปิดวันจันทร์และอังคาร
โทรศัพท์ : 038 653 741, 038 653 672
10.พิพิธภัณฑ์บ้านครูกัง
พิพิธภัณฑ์บ้านครูกัง ริเริ่มโดย ครูกัง ซึ่งเป็นนักสะสมของโบราณมานานกว่า 40 ปี ภายในแบ่งส่วนจัดแสดงเป็นห้องร้านค้าสไตล์ย้อนยุคตามประเภทของสะสม ไม่ว่าจะเป็น ร้านเสริมสวย ร้านถ่ายรูป ร้านตัดเสื้อ ร้านกาแฟโบราณ โชว์ห่วย ไปจนถึงห้องนอน ห้องกินข้าว ห้องเรียน ฯลฯ
ส่วนชั้นสองจัดแสดงของเก่าอื่นๆ อย่างนาฬิกาโบราณ ธนบัตร ล็อตเตอรี่ แสตมป์ อุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ โดยทุกห้องสามารถเดินเข้าไปชมและถ่ายรูปได้หมด ส่วนด้านนอกจัดแสดงรถโบราณ รวมทั้งมีคาเฟ่เล็กๆให้นั่งด้วย
ที่ตั้ง : ต.กร่ำ อ.แกลง จ.ระยอง
เวลาเปิดปิด : 09:00-16:00 น. เปิดทุกวัน
โทรศัพท์ : 087 129 9405
11.สวนพฤกษศาสตร์ระยอง
มาเที่ยวธรรมชาติให้สดชื่นในพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งภาคตะวันออกที่กว้างกว่า 3,800 ไร่ ซึ่งภายในมีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย เช่น ปั่นจักยาน พายเรือคายัค ล่องเรือในหนองจำรุง ชมธรรมชาติพื้นที่ชุ่มน้ำ ทั้งกระจูด แพหญ้าหนังหมา พร้อมกับนกน้ำมากมายหลายชนิด เดินศึกษาธรรมชาติบนเส้นทางเกาะกลางบึง ชมป่าเสม็ดพันปี ซึ่งเป็นสังคมเสม็ดขาวผืนสุดท้ายของภาคตะวันออก โดยทุกกิจกรรมจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้ความรู้เกี่ยวกับพรรณไม้ตลอดเส้นทาง
ที่ตั้ง : ต.ชากพง อ.แกลง จ.ระยอง
เวลาเปิดปิด : 08:30-16:00 น. เปิดทุกวัน
โทรศัพท์ : 038 638 880-1, 038 638 981
12.ศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริ
ศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริ เกิดขึ้นตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 9 ให้เป็นศูนย์เรียนรู้เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ทั้งในด้านเกษตรกรรม ปศุสัตว์ ประมง และศิลปาชีพพิเศษให้กับประชาชนในพื้นที่ ปัจจุบันเปิดให้ผู้ที่สนใจได้เข้าชมศึกษาดูงาน มีทั้งการปลูกพืชปลอดสารพิษ การปลูกปาล์มน้ำมัน การปลูกมันสำปะหลัง การปลูกมะนาวในบ่อซีเมนต์ การปลูกส้มจี๊ด การผลิตเมล็ดข้าวพันธุ์ดี ฟาร์มเลี้ยงโค-กระบือ แพะแบบธรรมชาติ ฟาร์มเพาะพันธุ์กุ้งก้ามกราม ปลาสวยงาม เป็นต้น
ที่ตั้ง : ต.แม่น้ำคู้ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง
เวลาเปิดปิด : 08:00-18:00 น. เปิดทุกวัน
โทรศัพท์ : 038 010 800, 038 694 000
13.Rayong Smile Plant
Rayong Smile Plant ที่นี่เป็นทั้งร้านจำหน่ายพันธุ์ไม้โดยเฉพาะต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง ที่มีหลากหลายสายพันธุ์
รวมทั้งเปิดเป็นศูนย์เรียนรู้เรื่องการเพาะพันธุ์ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงให้กับผู้ที่สนใจด้วย ด้านในตั้งอยู่ท่ามกลางสวนที่ร่มรื่น แปลกตาด้วยฝักต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่ห้อยลงมาจากกระถางเต็มไปหมด ซึ่งนอกจากจะสามารถแวะมาโพสต์ท่าถ่ายรูปเก๋ๆ ได้แล้ว
ที่นี่ยังเปิดเป็นคาเฟ่เล็กๆ ที่มีเครื่องดื่มทั้งกาแฟ ชาเขียว ชาไทย โกโก้ โซดาต่างๆ ให้บริการ รวมทั้งอาหารกินเล่นที่ไม่เหมือนใครแต่น่าลอง อย่างหม้อข้าวหม้อแกงลิงทอดกรอบ หรือส้มตำหม้อข้าวหม้อแกงลิง เป็นต้น
ที่ตั้ง : ต.ตาขัน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง
เวลาเปิด-ปิด : 08:00-18:00 น. เปิดวันเสาร์-อาทิตย์
โทร. : 099 154 2609
14.สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
แวะมาเที่ยวสถานที่ร่มรื่นเติมเต็มความสดชื่นให้แก่ชีวิตกันที่ “สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” สวนแห่งการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรของชาติ ให้เกิดประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลัง
โดยสวนแห่งนี้จัดตั้งขึ้นเป็นแห่งแรกของประเทศไทย เมื่อปี 2527-2528 บนเนื้อที่ 60 ไร่ ซึ่งภายในสวนมีการรวบรวมสมุนไพรพันธุ์ต่าง ๆ มาปลูกไว้เป็นจำนวนมาก และทาง ปตท. ผู้ริเริ่มการจัดตั้งสวนแห่งนี้ก็ได้น้อมเกล้าฯ ถวายสวนสมุนไพรแห่งนี้แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2528 ซึ่งในช่วงต่อมาก็ได้มีการพัฒนาสถานที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ และปลูกต้นไม้เพิ่มเติม เพื่อเทิดพระเกียรติในวโรกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ 50 พรรษา
สำหรับภายในสวนแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ “สวนสมุนไพร” ที่รวบรวมพันธุ์สมุนไพรมากกว่า 260 ชนิด ประมาณ 20,0000 ต้น มาปลูกไว้ที่สวนโดยแบ่งประเภทของสมุนไพรตามสรรพคุณในการรักษาโรค เอาไว้ถึง 20 กลุ่ม นอกจากจะเปิดที่นี่ให้เป็นแหล่งเรียนรู้และสวนสำหรับพักผ่อนแล้ว ยังถือเป็นพื้นที่สำคัญในการอนุรักษ์พืชสมุนไพรอีกด้วย
ส่วนถัดมาก็คือบริเวณ “อาคารเฉลิมพระเกียรติ ๕๐ พรรษา” ซึ่งเป็นสถานที่แสดงนิทรรศการผ่านสื่อหลายรูปแบบ ที่ให้ความรู้ ดูสนุก ชวนติดตาม กระตุ้นให้เกิดความสนใจ ค้นหาความรู้ โดยแบ่งออกเป็นห้องต่าง ๆ ดังนี้ ห้องการเดินทางของลูกยาง, ห้องเจ้าฟ้านักอนุรักษ์, ห้องพลังงานที่ยั่งยืนของไทย, บ้านหมอยา, กินตามธาตุ และโลกของพืชสมุนไพร
ที่ตั้ง : ต.มาบข่า อ.เมือง จ.ระยอง
โทรศัพท์ : 038 915 213, 084 930 6060
15.บ่อพลอยเหล็กเพชร
บ่อพลอยเหล็กเพชร ใครที่อยากเข้าถึงวิถีคนทำเหมืองพลอยแท้ๆ ต้องมาที่ บ่อพลอยเหล็กเพชร ซึ่งถือเป็นบ่อพลอยที่หลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่งของจังหวัด
และยังทำการขุดพลอยกันจริงๆ ทุกวันนี้เปิดให้คนที่สนใจเข้ามาลองขุดพลอยด้วยวิธีการดั้งเดิม ซึ่งจะมีทีมงานที่ชำนาญคอยให้คำแนะนำตลอด ตั้งแต่การปีนลงไปในปล่องที่ลึกประมาณ 4-5 เมตร โกยดินใส่ถังขึ้นมา
จากนั้นก็นำมาร่อนหาพลอยในบ่อน้ำ ใครดวงดีเจอพลอย ทางบ่อพลอยก็ยังใจดียกให้เอากลับบ้านไปเลยด้วย โดยส่วนใหญ่ที่ขุดขึ้นมาได้มักจะเป็นพวกนิล สตาร์ เขียวส่อง เป็นต้น ส่วนใครขี้เกียจขุดก็มีร้านจำหน่ายเครื่องประดับให้ไปนั่งเลือกช้อป นอกจากนี้ยังมีคาเฟ่เล็กๆ และสวนผลไม้ให้เที่ยวชมในบรรยากาศร่มรื่นด้วย
ที่ตั้ง : ชุมชนบางกะจะ อ.เมือง จ.จันทบุรี
โทรศัพท์ : 087 822 9138
16.ศูนย์พัฒนาไม้ผลตามพระราชดำริ
ศูนย์พัฒนาไม้ผลตามพระราชดำริ จ.จันทบุรี “สวนของพ่อ” แห่งนี้ เกิดขึ้นตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงเห็นว่าในอนาคตจันทบุรีจะเป็นแหล่งปลูกผลไม้ที่สำคัญของประเทศ จึงได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จัดซื้อที่ดินเพื่อดำเนินโครงการศึกษาพัฒนาไม้ผล รวมทั้งการเลี้ยงสัตว์ และผึ้งชันโรง ตามแนวเกษตรทฤษฎีใหม่ เพื่อเป็นองค์ความรู้ให้เกษตรกร
ในสวนมีทั้งเงาะ มังคุด ลองกอง ลำไย โดยเฉพาะทุเรียน ทางศูนย์สามารถผสมข้ามสายพันธุ์จนเกิดเป็นพันธุ์จันทบุรี 1 2 และ 3 ที่ให้เนื้อแน่น ไม่เละง่าย และกลิ่นไม่แรงมาก
ใครที่สนใจจะเข้ามาศึกษาดูงาน หรือแวะชมและชิมผลไม้จากสวนของพ่อก็สามารถสอบถามล่วงหน้าได้ ถ้ามาจังหวะผลไม้กำลังออกก็จะได้ซื้อผลผลิตสดๆ รวมทั้งปั่นจักรยานเที่ยวชมสวน และตัดทุเรียนจากต้นเองด้วย
ที่ตั้ง : บ้านทุ่งโตนด ต.ท่าหลวง อ.มะขาม จ.จันทบุรี
เวลาเปิด-ปิด : 08:30-16:30 น. ทุกวัน
โทร. : 039 397 134
17.ชุมชนริมน้ำจันทบูร
ที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งชุมชนโบราณสุดคลาสสิก ที่ชวนนักท่องเที่ยวย้อนอดีตวันวานเช่นกัน โดยความสำคัญของชุมชนแห่งนี้ ประกอบไปด้วยผู้คนจาก 3 เชื้อชาติไม่ว่าจะเป็น ไทย ญวน และ จีน ซึ่งมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ว่า ชุมชนริมน้ำจันทบูร เริ่มก่อในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงย้ายเมืองมาจากบ้านหัววัง ต.พุงทลาย (ปัจจุบันเป็น ต.จันทนิมิต จ.จันทบุรี) มายังเมืองจันทบูร ริมฝั่งแม่น้ำ ชุมชนขยายไปจนถึงย่านท่าสิงห์ ย่านท่าหลวง
เนื่องจากบริเวณนี้อยู่บนเนิน น้ำไม่ท่วม อุดมสมบูรณ์ อยู่ติดแม่น้ำ สามารถออกสู่ทะเลได้ แถมยังปลอดภัยจากข้าศึก ศัตรู ในสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินก็ใช้เมืองจันทบุรีรวบรวมกำลังพล กอบกู้กรุงศรีอยุธยาจากพม่า
โดยเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว ช่วงสมัย ร.5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) บริเวณย่านท่าหลวง ใกล้กับชุมชนริมน้ำจันทบูร มีความเจริญเป็นอย่างมาก มีถนนสายแรกตัดผ่าน คือ ถนนสุขาภิบาล ถนนเลียบแม่น้ำจันทบุรี บริเวณนี้เป็นศูนย์กลางการค้าขาย และศูนย์การคมนาคมทั้งทางรถ และทางเรือ
ที่ตั้งของชุมชนริมน้ำจันทบูรเริ่มจากถนนท่าหลวงไปทางถนนสุขาภิบาลทั้งเส้น ริมสองฝั่งแม่น้ำ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร บริเวณนี้มีบ้านเรือนเก่า โบสถ์คริสต์ วัด ศาลเจ้าจีน ตลาดพลอด ร้านขายอาหาร ขนมไทยแบบดั้งเดิม ซึ่งนับวันจะหาชม หากินได้ยาก
ที่ตั้ง : ถ.สุขาภิบาล อ.เมือง จ.จันทบุรี
18.หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี อาจดูแปลกสักหน่อย ถ้าจะชวนเพื่อนๆ มาเที่ยวชมหอจดหมายเหตุฯ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากค่ายตากสิน แต่ถ้าได้เข้าไปแล้วจะอดใจไม่ได้ ต้องขอถ่ายรูปตัวอาคารหอจดหมายเหตุฯ ที่อายุร้อยกว่าปี แต่ยังสวยคลาสสิกข้ามกาลเวลา ลักษณะผสมผสานระหว่างศิลปะตะวันตกและตะวันออก
เดิมทีเคยเป็นศาลากลางจังหวัดมาก่อน ด้านในจัดแสดงเอกสารสำคัญๆ เช่น ทะเบียนรายชื่อ ภาพถ่าย จดหมายเหตุ ภาพยนตร์และสารคดีที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวจันทบุรี ใครสนใจอยากรู้เรื่องราวเมืองจันทบุรีอย่างลึกซึ้งล่ะก็ การเข้าชมหอจดหมายเหตุฯ แห่งนี้โดนใจแน่นอน
ที่ตั้ง : ถ.ท่าหลวง ต.วัดใหม่ อ.เมือง จ.จันทบุรี
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน 08.00-16.30 น.
โทรศัพท์ : 0-3938-8116-8
19.ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
อีกหนึ่งโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานพระราชดำริไว้ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2524 โดยที่ตั้งของโครงการตั้งอยู่บริเวณอ่าวคุ้งกระเบน ต.คลองขุด อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี
มีพื้นที่ครอบคลุมชายฝั่งทะเลบริเวณอ่าว คุ้งกระเบนกว่า 4,000 ไร่ เพื่อทำการศึกษา วิจัย ทดลอง เพาะพันธุ์สัตว์น้ำชายฝั่งทะเล อนุรักษ์พันธุ์ไม้ของป่าชายเลน พร้อมทั้งสร้างที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลภายในพื้นที่
และส่งเสริมให้ชาวบ้านในพื้นที่มีความรู้ในการประกอบอาชีพอย่างยั่งยืน และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ตามหลักการดำเนินชีวิตแบบพอเพียง
สำหรับผู้ที่อยากพักผ่อนใกล้ชิดธรรมชาติ พร้อมเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวประมง สามารถเดินทางมาชมพิพิธภัณฑ์ทางธรรมชาติกับไฮไลท์หลักคือ เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติเป็นสะพานไม้ ระยะทาง 1.6 กิโลเมตรทอดตัวยาวเข้าไปยังป่าชายเลน
ภายในมีจุดให้ความรู้เกี่ยวกับป่า พันธุ์ไม้ การอนุรักษ์สัตว์อย่างละเอียด พร้อม ปิดท้ายด้วยหอดูเรือนยอดไม้ ความสูง 15 เมตร เพื่อชมวิวสวยของโครงการในมุมสูง
ที่ตั้ง : 31 หมู่ 4 ต.คลองขุด อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี
เวลาเปิดปิด : เปิดบริการทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.
โทรศัพท์ : 0 3938 8116-8
20.ชุมชนขนมแปลก ริมคลองหนองบัว
ชุมชนขนมแปลกริมคลองหนองบัว ชุมชนเก่าแก่อายุมากกว่า 200 ปี มีดีทั้งขนมหวาน อาหารและที่เที่ยว เปิดตลาดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00-17.00 น. เดินทางมาจากตัวเมืองจันท์เพียง 15 นาที
โดยตัวชุมชนยังคงรักษารูปแบบบ้านเก่า ๆ อาหารการกินแบบโบราณ เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชมยังคงได้รับกลิ่นอายย้อนยุคไปในขณะที่เดินเที่ยว ส่วนขนมโบราณที่หาทานยากได้แก่ ขนมตะลุ่ม, ข้าวเกรียบอ่อน, ข้าวพอง, ตังเมน้ำอ้อย, ทองม้วนอ่อน, มะกอกคลุกเกลือ-น้ำตาล, ข้าวตอกน้ำอ้อย (ลูกระเบิด), ข้าเหนียวเผือก, ฯลฯ รวมไปถึงเมนูของคาวอย่าง ร้านก๋วยเตี๋ยวโบราณ (เส้นบะหมี่ทำเอง)
ที่ตั้ง : ต.หนองบัว อ.เมือง จ.จันทบุรี
โทรศัพท์ : 039 460 298
21.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมืองตราด
นักท่องเที่ยวหรือชาวตราดที่อยากเรียนรู้ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตคนเมืองตราด ให้มากขึ้น “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมืองตราด” ตั้งอยู่ถนนสันติสุข ต.บางพระ อ.เมือง จ. ตราด เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ห้ามพลาดเลยก็ว่าได้ เมื่อเข้าไปภายในพิพิธภัณฑ์นักท่องเที่ยวจะได้พบกับการจัดแสดงนิทรรศการถาวรที่แบ่งออกเป็น 6 โซน ดังนี้
– มรดกธรรมชาติและวัฒนธรรมเมืองตราด จัดแสดงเรื่องภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมของจังหวัดตราด
– ผู้คนเมืองตราด จัดแสดงกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดตราด อาทิ ไทย จีน เขมร ญวน ชอง
– ลำดับทางโบราณคดีและประวัติเมืองตราด จัดแสดงเรื่องราวของจังหวัดตราดตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ต้นสมัยประวัติศาสตร์ สุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์ (สมัยรัชกาลที่ 1-4)
– เหตุการณ์สำคัญในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดแสดงเรื่องการส่งมอบเมืองตราดคืนจากฝรั่งเศส การพระราชทานพระแสงราชศาสตราประจำเมือง และการเสด็จประพาสเมืองตราด
– เหตุการณ์ยุทธนาวีเกาะช้าง จัดแสดงเรื่องราวตามลำดับเหตุการณ์ยุทธนาวี โดยจำลองห้องจัดแสดงเป็นเรือรบ
– ตลาดเมืองตราด จัดแสดงเรื่องราวการค้าในตลาดเก่าและสภาพปัจจุบันของตลาดเมืองตราด
ที่ตั้ง : ถ.สันติสุข ต.บางพระ อ.เมือง จ.ตราด
เวลาเปิดปิด : เปิดวันอังคาร-ศุกร์ 09.00-16.00 น., วันเสาร์-อาทิตย์ 09.30-16.30 น. (ปิดวันจันทร์)
โทรศัพท์ : 039-512 291
ค่าเข้าชม : ไม่เก็บค่าเข้าชม
22.อนุสรณ์สถานยุทธนาวีเกาะช้าง
มีอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ผันพระพักตร์ไปยังบริเวณยุทธนาวีเกาะช้าง ด้านในพิพิธภัณฑ์ได้จัดแสดงข้อมูลประวัติศาสตร์ของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ประวัติการสู้รบของกองทัพเรือไทยกับกองกำลังเรือรบของฝรั่งเศส
เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2484 เป็นวันที่มีการรบทางเรือระหว่างไทยกับฝรั่งเศส อันนับเป็นยุทธนาวีครั้งสำคัญยิ่งของกองทัพเรือไทยเท่าที่ได้เคยมีมาในอดีต กองทัพเรือจึงได้ถือเอาวันที่ 17 มกราคม ของทุกปี เป็นวันสดุดีวีรชนกองทัพเรือ เพื่อแสดงความเคารพและรำลึกถึงวีรกรรมของทหารหาญแห่งราชนาวีไทยทั้ง 36 นาย ที่ได้สละชีพเพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติไทยเอาไว้จวบจนปัจจุบัน ในครั้งนั้น ฝรั่งเศสส่งกำลังเข้ารุกล้ำน่านน้ำไทยบริเวณเกาะช้าง รวมทั้งสิ้น 7 ลำ เฉพาะเรือลามอตปิเกต์ลำเดียวก็มีระวางขับน้ำถึง 9,350 ตัน
นอกจากนั้นยังมีเรือสลุตอีก 2 ลำ และเรือปืนอีก 4 ลำ ขณะที่กองทัพไทย มีกำลังรบเพียง 3 ลำ คือ เรือหลวงธนบุรี เรือหลวงสงขลา และเรือหลวงชลบุรี เราจึงเสียเปรียบในด้านกำลังรบอย่างไม่อาจจะเทียบกันได้ แต่บรรพบุรุษทหารเรือของเรายังคงมีขวัญและกำลังใจที่ดี และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญตราบจนเรือหลวงของไทยทั้ง 3 ลำ ต้องจมลงสู่อ้อมกอดแห่งท้องทะเลตราดพร้อมกับนายทหารและทหารประจำเรือที่เสียชีวิตไปถึง 36 นาย
อนุสรณ์สถานยุทธนาวีฯ ตั้งอยู่บริเวณชายทะเลแหลมงอบ เป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หันพระพักตร์ไปยังบริเวณยุทธนาวีเกาะช้าง รอบ ๆ บริเวณและอาคารพิพิธภัณฑ์ตกแต่งคล้ายเรือรบ ด้านในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงข้อมูลประวัติศาสตร์ของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ประวัติการสู้รบของกองทัพเรือไทยกับกองกำลังเรือรบของฝรั่งเศส
ที่ตั้ง : ต.แหลมงอบ อ.แหลมงอบ จ.ตราด
เวลาเปิดปิด : ทุกวัน 08:00 – 16:00 น.
23.สวนปาล์มฟาร์มนก
จากนั้นมาชมแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการศึกษา และอนุรักษ์นกแก้ว ท่ามกลางบรรยากาศสวนปาล์มหลากหลายสายพันธุ์ เปิดให้เข้าชม และสนุกกับกิจกรรมต่างๆ อาทิ ให้อาหารนกแก้วมาคอว์ นกแก้วไฮยาซิน หงส์ และสัตว์ปีกหายาก คาเฟ่หมาไซบีเรียนฮัสกี ชมลีลาการเต้นประกอบเพลงของนกกระตั้ว นาม “โทนี่”
ที่ตั้ง : 25 หมู่ที่ 6 ต.บางตลาด อ.คลองเขื่อน จ.ฉะเชิงเทรา
โทรศัพท์ : 081 868 1174
24.สวนมะพร้าว Coco Cowboy
ชวนมาแปลงร่างเป็นชาวสวนมะพร้าวน้ำหอมสุดเก๋ที่จะทำให้ทุกคนต้องหลงรักไปกับบรรยากาศสบายๆ พร้อมทานเครื่องดื่มอร่อยๆ กาแฟมะพร้าวปั่นคือทีเด็ด รวมทั้งขนมโคโค่บอล ไอติมมะพร้าว วุ้นมะพร้าว นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมฐานเรียนรู้เกี่ยวกับมะพร้าว ตั้งแต่วิธีการเก็บมะพร้าว เผามะพร้าว แปรรูป และอื่นๆ อีกเพียบ
ที่นี่เป็นสวนมะพร้าวน้ำหอมซึ่งปลูกมานานหลายสิบปี ก่อนต่อยอดมาถึงรุ่นปัจจุบันที่ได้ทายาทบัณฑิตสาวจากรั้วจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยนำเอาไอเดียคนรุ่นใหม่มาต่อยอดพัฒนาสวน แต่ยังยึดแนวทางเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพร้อมเรียนรู้วิถีชาวสวนไว้อย่างครบถ้วน น่าสนับสนุนมากๆ
บอกเลยว่าใครมาก็ต้องหลงรัก ไม่เชื่อลองมาดูสิ
ที่ตั้ง : ต.บางตลาด อ.คลองเขื่อน จ.ฉะเชิงเทรา
เวลาเปิดปิด : คาเฟ่เปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ 9.00-17.00 น.
กิจกรรมสามารถทำได้ทุกวัน โดยต้องติดต่อล่วงหน้า มีค่าใช้จ่ายตามเหมาะสม (สูงสุด 150 บาทต่อคน ขึ้นอยู่กับจำนวนคน)
โทรศัพท์ : 099 275 7425
25.Knowledge Center of Chachoengsao
ศูนย์การเรียนรู้เมืองฉะเชิงเทรา การเรียนรู้จะไม่น่าเบื่ออีกต่อไป เหมาะมากกับการมาใช้เวลาว่างในวันหยุดมากๆ
เพราะที่นี่เป็นแหล่งเรียนรู้ในรูปแบบห้องสมุดมีชีวิต ตั้งใจที่จะส่งเสริมโลกแห่งการอ่านและการเรียนรู้แก่เยาวชนในท้องถิ่นโดยเฉพาะ ภายในแบ่งออกเป็น ห้องสมุดเด็ก ห้องสมุดดนตรี ห้องสมุดมีชีวิต โรงละครเคซีซี จัตุรัสนัดฝัน ห้องปล่อยแสง บ้านของเรา รวมไปถึงโซนมัลติมีเดีย และห้องสมุดไอที แถมเปิดให้เข้าชมฟรี เพียงใช้บัตรประชาชน
ที่ตั้ง : ถ.นรกิจ ต.หน้าเมือง อ.เมืองฉะเชิงเทรา จ.ฉะเชิงเทรา
เวลาเปิด-ปิด : วันอังคาร-ศุกร์ 10:00-18:00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ 09:00-18:00 น. (ปิดวันจันทร์)
โทรศัพท์ : 038 511 673-4
26.มินิมูร่าฟาร์ม
มินิมูร่าฟาร์ม ใครชอบเที่ยวฟาร์มต้องห้ามพลาดที่นี่กับบรรยากาศน่ารักอบอุ่น เหมาะกับเพศทุกวัย ฟาร์มนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ควายสายพันธุ์มูร่าห์ ซึ่งเป็นควายสายพันธุ์ต่างประเทศที่นิยมเลี้ยงในแถบยุโรป น้ำนมของควายชนิดนี้มีแคลเซียมสูง ไม่มีกลิ่นคาว เหมาะกับคนที่แพ้นมวัว
แถมยังนำมาทำผลิตภัณฑ์ได้อีกมากมาย เช่น มอสซาเรลล่าชีส นมพาสเจอร์ไรซ์ สบู่ โลชั่น ฯลฯ สามารถแวะซื้อได้จากช็อปของฟาร์ม ส่วนกิจกรรมก็มีมากมาย ทั้งให้นมลูกควายมูร่าห์ ให้อาหารกระต่าย เป็ด หมู และยังมีเวิร์คช็อปอย่างทำพิซซ่า ตั้งแต่คลึงแป้งเอง ใส่เครื่องเองแถมมีชีสจากนมควายให้โรยด้วย เพ้นท์กระถาง ทำไข่เค็ม รวมทั้งทำไอศครีมจากนมควาย
นอกจากนี้ยังมีห้องอาหารบรรยากาศโรงนาให้มานั่งกินเมนูอร่อย เรียกว่ามาที่เดียวก็สนุกเต็มอิ่มกันได้ทั้งบ้าน
ที่ตั้ง : อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา
เวลาเปิดปิด : 10:00-20:00 น. ทุกวัน
โทรศัพท์ : 081 819 2819
27.ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน
คนอาจจะไม่รู้จักอำเภอพนมสารคาม แต่ถ้าชื่อเสียงของเขาหินซ้อนอาจเคยผ่านหูมาบ้าง เพราะนี่คือที่ตั้งของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริซึ่งมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่ง
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน อยู่ที่ตำบลเขาหินซ้อน เดิมเป็นพื้นที่้่เสื่อมโทรมเนื่องจากถูกนำไปใช้ทำการเกษตรอย่างผิดวิธี จนกระทั่งพระบาทสมเด็จปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งศูนย์แห่งนี้ขึ้นเพื่อฟื้นฟูสภาพพื้นที่ขึ้นใหม่จนปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่สีเขียวสมบูรณ์ และเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเกษตรมากมาย
แต่ไม่ใช่แค่เรียนรู้หรอกนะ นักท่องเที่ยวอย่างเราก็เข้ามาเขาหินซ้อนแบบเฮฮาสนุกสนานได้ เพราะเขาจัดพื้นที่โซนดอกไม้ให้ถ่ายรูปสวยๆ มีโซนปศุสัตว์ให้ชมสวนสัตว์ขนาดย่อม มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ให้เราพักผ่อนหย่อนใจ และยังสามารถเดินชมตามแปลงเกษตร พื้นที่เกษตรตัวอย่าง และสวนต่างๆ ได้อีกด้วย
ที่ตั้ง : 7 หมู่ 2 ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน 8.00-16.00 น.
28.หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา
ไม่อยากให้พลาดจริงๆ กับพิพิธภัณฑ์ทางดาราศาสตร์ที่ทั้งใหม่และสุดทันสมัยแห่งนี้ ที่สำคัญคืออยู่ใกล้กรุงเทพฯ เอามากๆ แรกมาถึงจะสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของอาคารพิพิธภัณฑ์และท้องฟ้าจำลอง รวมทั้งสนามหญ้ากว้างๆ และหอดูดาวที่ตั้งโดดเด่นเป็นสง่า ภายในพิพิธภัณฑ์ให้ความรู้ในแบบอินเตอร์แอคทีฟได้น่าสนุก
ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบเรื่องการหักเหแสง การวัดมวลของร่างกายเมื่อเทียบกับแรงโน้มถ่วงบนดาวต่างๆ การจำลองฤดูกาล การเคลื่อนที่ของจักราศี การเกิดจันทรุปราคา น้ำขึ้นน้ำลง เนบิวลา หลุมดำ สสารมืด แถมมีอุกกาบาตของจริงให้สัมผัสอีกต่างหาก เท่านั้นยังไม่พอ ที่อาคารท้องฟ้าจำลองที่จะได้ชมภาพยนตร์เกี่ยวกับระบบสุริยะจักรวาลในแบบเต็มตา รวมทั้งได้ความรู้เรื่องกลุ่มดาวต่างๆ บนท้องฟ้าในช่วงเวลาต่างๆ ส่วนวันเสาร์จะมีการเปิดให้ชมดาวผ่านกล้องโทรทัศน์ด้วย
ที่ตั้ง : อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา
เวลาเปิดปิด : วันอังคาร-อาทิตย์ 9:00-16:00 น.
โทรศัพท์ : 038 589 396, 084 088 2264
29.ป้อมพระจุลจอมเกล้า
“ป้อมพระจุลจอมเกล้า” หรือที่เรียกสั้นๆว่า “ป้อมพระจุล” ที่นี่เป็นป้อมปราการทางน้ำ ที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อป้องกันการรุกรานจากอังกฤษและฝรั่งเศส สองชาติตะวันตกที่ออกล่าอาณานิคมในดินแดนแถบนี้
บริเวณนี้เป็นชัยภูมิที่เหมาะสม เพราะตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา ถ้าหากมีเรือรบของข้าศึกบุกเข้ามาทางปากน้ำ สามารถดักโจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้อมแห่งนี้สร้างเป็นป้อมปืนใหญ่ทันสมัยแบบตะวันตก และได้ติดตั้งปืนใหญ่อาร์มสตรอง ขนาด 155 มม. จำนวน 7 กระบอกเป็นอาวุธหลักของป้อม หรือมีชื่อเรียกอีกชื่อ ว่า “ปืนเสือหมอบ” เพราะปืนนี้เป็นปืนที่มีความพิเศษคือจะใช้แรงถีบจากการยิงปืนในแต่ละครั้ง ทำให้ตัวปืนหมอบลงกลับมาอยู่ในหลุมยิง ซึ่งทำให้ข้าศึกสังเกตุและยิงสวนกลับมาได้ยาก ทำให้ป้อมนี้เป็นป้อมปราการที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น
นอกจากนี้ภายในบริเวณของป้อมพระจุลฯ ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ อาทิเช่น พระบรมราชานุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งสร้างจากกระสุนปืนใหญ่ , พิพิธภัณฑ์เรือหลวงแม่กลอง ที่เป็นเรือรบที่ประจำการยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์กองทัพเรือไทย และเป็นเรือรบที่มีความเก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของโลก ได้ผ่านการใช้งานในหน้าที่สำคัญหลายครั้ง เช่น เคยใช้เป็นเรือพระที่นั่งในรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9, ร่วมรบในสงครามมหาเอเชียบูรพา และใช้เป็นเรือฝึกของทหารเรือจนได้ชื่อว่าเป็นเรือครูของราชนาวีไทย
ปัจจุบันกองทัพเรือได้ดำเนินการอนุรักษ์และปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์เรือรบไทย เพื่อให้กับเยาวชนคนรุ่นหลังได้มาศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ ความกล้าหาญของบรรพบุรุษ ที่รักษาผืนแผ่นดินไทยให้อยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้
ที่ตั้ง : ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.
โทรศัพท์ : 02 475 6109
30.บ้านธูปหอมสมุนไพร
บ้านธูปหอมสมุนไพร จากป้ายทางเข้า ปั่นจักรยานไปตามทางปูนแคบๆ ใต้ร่มไม้ใหญ่ไม่ไกลจะพบกับบ้านหลังน้อยในสวนที่มีกิจกรรมน่าสนุกให้ทำหลายอย่าง โดยเฉพาะวันหยุดมีเวิร์คช็อปทำผ้ามัดย้อมและธูปหอม ซึ่งผ้ามัดย้อม จะสอนทั้งวิธีมัดให้เป็นลวดลายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ลายหอยใหญ่ ลายหอยออร่า ลายหอยใบไม้ ลายกนก ลายสี่เหลี่ยม ฯลฯ
สีสันก็มีให้เลือกละเลงได้ตามชอบ ส่วนฝั่งธูปหอมก็สนุกเพราะจะได้ลองปั้นๆ ลูบๆ ทำธูปไล่ยุงด้วยตัวเอง ส่วนผสมก็ล้วนมาจากสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ขมิ้นชัน มะกรูด อบเชย กะถิน ชะอม นอกจากนี้ยังมีขนมไทยที่ทำมาจากพืชพรรณท้องถิ่นทำสดๆ ให้ชิมกัน ทั้งขนมจาก ข้าวต้มมัดใบจาก น้ำลูกจากใบเตย
วิสาหกิจชุมชนบ้านธูปหอมสมุนไพร เปิดทุกวันเสาร์-อาทิตย์ 9:00-15:00 น. กิจกรรมทำผ้ามัดย้อมและทำธูปหอม ราคาเริ่มต้นเพียงคนละ 60-70 บาท มาทำกิจกรรมเป็นหมู่คณะต้องจองล่วงหน้า
ที่ตั้ง : ต.บางกระเจ้า อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
โทรศัพท์ : 086 569 1650, 02 815 0729
31.เมืองโบราณ
เมืองโบราณ แหล่งท่องเที่ยวซึ่งอยู่คู่กับคนไทยมานานหลายสิบปี นั่นคือ เมืองโบราณ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2506 โดยนายเล็ก วิริยะพันธุ์ สร้างบนพื้นที่กว่า 800 ไร่ ถือเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวบรวมสถานที่สำคัญ ๆ จากทั่วทั้งประเทศมาไว้ที่นี่ ไล่ตั้งแต่พระที่นั่งสรรเพชญ, วัดภูมินทร์, ปราสาทเขาพระวิหาร, พระธาตุพนม, พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช, ขบวนเรือพระราชพิธี, เรือสำเภา ฯลฯ โดยทุกแห่งจะจัดแบ่งไว้ตามภูมิภาคอย่างดี เพื่อความต่อเนื่องในการเที่ยวชม
นักท่องเที่ยวสามารถเลือกวิธีการเที่ยวชมได้ทั้ง จักรยาน รถราง รถกอล์ฟ หรือจะนำรถยนต์เข้าไปเองก็ได้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวทุกคนได้ชมความสวยงามและซาบซึ้งกับรากเหง้าของศิลปวัฒนธรรมไทย ราวกับว่าได้ไปเที่ยวทั่วทั้งประเทศภายในวันเดียว
ที่ตั้ง : ต.บางปูใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
เวลาเปิดปิด : 09:00–19:00 น. ทุกวัน
โทรศัพท์ : 0 2323 4094-9
32.พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ
พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ สร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจของคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้จัดสร้างเมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ และปราสาทสัจธรรม เมืองพัทยา จ.ชลบุรี เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บรักษาศิลปวัตถุ มรดกทางวัฒนธรรมด้านต่างๆ และเพื่อสืบสานและอนุรักษ์งานศิลปะไทย ให้คงอยู่สืบชั่วลูกชั่วหลาน
สิ่งที่โดดเด่นและเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่คือ ประติมากรรม “ช้างสามเศียร” หรือช้างเอราวัณขนาดใหญ่ยักษ์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนอาคารทรงกลม มองเห็นได้จากระยะไกล โดยช้างเอราวัณนี้ถือเป็นประติมากรรมลอยตัวด้วยวิธีเคาะมือแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในโลก ทำจากโลหะทองแดงนับแสนชิ้น มีขนาดใหญ่โตมโหฬารจนต้องตะลึง โดยส่วนหัวมีน้ำหนักถึง 100 ตัน และลำตัวมีน้ำหนักถึง 150 ตัน ตัวช้างรวมอาคารมีความสูงทั้งสิ้น 43.60 เมตร หรือสูงเท่ากับตึก 14 ชั้นเลยทีเดียว
เมื่อเดินเข้าไปชมยังภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ มีการแบ่งพื้นที่การจัดแสดงเป็น 3 ส่วนคือ ชั้นล่างสุด มีชื่อว่า ชั้นสุวรรณภูมิ เป็นส่วนของการจัดแสดงความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ และจัดเก็บโบราณวัตถุจำนวนมาก ชั้นที่อยู่กึ่งกลาง มีชื่อว่า ชั้นโลก เป็นอาคารทรงโดม ประดุจเข้าพระสุเมรุ ภายในจัดแสดงโบราณวัตถุ และงานฝีมือช่างที่วิจิตรงดงาม เพดานเป็นกระจกสี มีรูปแผนที่โบราณ ดูสวยงามในสไตล์ตะวันตก
ชั้นบนสุด มีชื่อว่า ชั้นจักรวาล เป็นส่วนที่อยู่ภายในท้องช้าง ชั้นนี้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธรูปเก่าแก่ในยุคสมัยต่าง ๆ บนเพดานมีภาพเขียนสีฝุ่นที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับระบบสุริยจักรวาล
ที่ตั้ง : ต.บางเมืองใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09:00–19:00 น.
โทรศัพท์ : 0 2380 0304
33.พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ
ที่นี่เป็นสถานที่ที่รวบรวมข้อมูล อนุรักษ์วัตถุอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับทหารเรือ ไว้ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ มีอาวุธยุทธภัณฑ์และเรือราชพิธี จัดแสดงให้ชมกัน
ด้านในพิพิธภัณฑ์ เย็นสบาย ไม่ร้อนเลย ที่จอดรถสะดวกสบาย มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจให้ดูเยอะแยะไปหมดเลย รับรองว่าหาดูกันไม่ได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน ใครที่ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับทหารเรือ และสงคราม ทาเที่ยวที่นี่รับรองว่าจะได้ความรู้กลับไปมากมายอย่างแน่นอน
ที่ตั้ง : 95 ถ.สุขุมวิท ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน จันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น.
โทรศัพท์ : 02 394 1997
34.โครงการประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
โครงการในพระราชดำริของในหลวงในรัชกาลที่ 9 ที่ให้ปรับปรุง คลองลัดโพธิ์ บริเวณคุ้งน้ำช่วงที่ไหลผ่านเขตพื้นที่ ต.บางกระเจ้าจากเดิมที่มีสภาพตื้นเขินมีความกว้างเพียง 10-15 เมตร ให้สามารถรับปริมาณน้ำได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเป็นทางลัดของน้ำไหลลงสู่ทะเลได้สะดวก รวดเร็ว ขึ้น โดยช่วยลดระยะทางการไหลของแม่น้ำเจ้าพระยาจาก 18 กิโลเมตร ให้เหลือเพียง 600 เมตร
ประตูระบายน้ำแห่งนี้ลดเวลาการเดินทางของน้ำจากเดิม 5 ชั่วโมง ให้เหลือเพียง 10 นาทีเท่านั้น รวมถึงสร้างประตูกันน้ำ ที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ช่วยลดผลกระทบจากน้ำล้นตลิ่งใน กทม.และ ปริมณฑล จากสภาวะน้ำเหนือไหลหลากในช่วงที่ผ่านมาได้อย่างดี ซึ่งช่วยแก้ไขปัญหาอุทกภัยให้กับชาวกรุงเทพ และชาวสมุทรปราการ นับเป็นพระอัจฉริยภาพ และพระมหากรุณาธิคุณอย่างสุดซึ้ง ที่พระองค์ท่านมีต่อพสกนิกรชาวไทย
นอกจากนี้ใกล้ๆกัน ยังมีสะพานภูมิพล 1-2 และถนนวงแหวนอุตสาหกรรม ที่ช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรให้กับชาวสมุทรปราการได้อย่างมหาศาล ทำให้ทั้งสองสถานที่ กลายเป็นสถานที่ซึ่งเปรียบเสมือนอนุสรณ์ในพระอัจฉริยภาพของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งสร้างประโยชน์นานับประการให้กับประชาชนชาวสมุทรปราการ และชาวไทยทั้งประเทศ
ที่ตั้ง : หมู่ที่ 9 ต.ทรงคะนอง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
โทรศัพท์ : 0 2464 2058
35.โครงการลูกพระดาบส” สมุทรปราการ
ศูนย์กลางการเรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีทางวิชาชีพแก่ประชาชนในแขนงต่างๆ ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 พร้อมเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรสอดแทรกหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ
จุดเริ่มต้นโครงการลูกพระดาบสฯ มาจากพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2541 บนที่ดินราชพัสดุและที่ดินพระราชทาน รวม 475 ไร่ ดำเนินกิจกรรมการเกษตรแบบผสมผสานในลักษณะพึ่งพาตนเอง พัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ และถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเกษตร
ปัจจุบันโครงการลูกพระดาบสฯ อยู่ในความรับผิดชอบร่วมกันของสำนักพระราชวัง มูลนิธิพระดาบส และจังหวัดสมุทรปราการ รับหน้าที่เป็นห้องเรียนเสริมสร้างทักษะเกษตรกรรมกลางแจ้งขนาดใหญ่ ต้อนรับนักเรียนทุกเพศทุกวัย แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย
ที่ตั้ง : 89 หมู่ 14 ถ.สุขุมวิท ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
โทรศัพท์ : 0-2174-4111-4, 08-6428-4055
36.ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ
ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ ตั้งอยู่ถนนท้ายบ้าน ตําบลท้ายบ้าน ห่ างจากตัวเมืองประมาณ 4 กิโลเมตร หรือสามารถเข้าทางถนนสุขุมวิท (สายเก่า) เทศบาลบางปูซอย 46 ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2493 ปัจจุบันเป็นฟาร์มจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ภายในเป็นสถานเพาะเลี้ยงจระเข้ มีการแสดงโชว์จระเข้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. นอกจากนี้ยังมีการ แสดงของช้างแสนรู้ซึ่งเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นอันมาก โนอกจากการเลี้ยงจระเข้แล้ว ภายในฟาร์มยังมีสัตว์อื่น ๆ อีก เช่น เสือ ลิงชิมแปนซี ชะนีเต่า งู นก อูฐ ฮิปโปโปเตมัส กวาง และปลาจํานวนมาก
ที่ตั้ง : บางปูซอย 46 ถ.ท้ายบ้าน ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น.
โทรศัพท์ : 02 703 4891
37.ภูกะเหรี่ยง
แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ต่อยอดโดยคนรุ่นใหม่สุดแนว เพื่อคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง แบบนี้เราว่าน่าสนใจกว่าเยอะ
ฃภูกะเหรี่ยง เป็นบ้านที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษของ บอย หนุ่มนครนายก ลูกหลานชาวลาวเวียงจันทน์อพยพ ที่เบื่อออฟฟิศเมืองกรุง เลยกลับมารีโนเวทบ้านไม้หลังเก่าแก่ให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บของสะสมโบราณ และลามไปถึงนาข้าวกว่า 60 ไร่ หลังบ้าน พร้อมทางเดินสีฟ้าสุดเก๋ เลาะเลื้อยไปกับนาข้าวที่ปลูกกันจริงๆ
ด้วยแถวนี้เป็นถิ่นฐานของชาวลาวอพยพมาตั้งแต่โบราณ คนด้านนอกจึงเรียกว่าย่านเขากะเหรี่ยง กลายเป็นชื่อที่บอยหยิบมาตั้งเป็น ภูกะเหรี่ยง นั่นเอง ในส่วนของบ้าน ชั้นล่างเป็นร้านกาแฟและร้านขายของที่ระลึกจากวิสาหกิจชุมชนในละแวก ชั้นบนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมของเก่าของสะสมรุ่นปู่ย่า ทั้งอุปกรณ์ของหมอยาสมัยก่อน รวมทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ในไร่นาแบบโบราณ หลังบ้านเป็นยุ้งข้าวอายุนับร้อยปี
และเลยไปอีกคือทุ่งนาที่มีสะพานสีฟ้าสุดเก๋พาดผ่านอยู่ด้านบนให้เดินเล่นถ่ายรูปกับวิวนาข้าวเขียวๆ นั่งรับลมในเพิงพัก และเรียนรู้วิถีชาวนาจากกิจกรรมที่มีทั้งการดำนา โม่ข้าว ฝัดข้าว ทดลองปลูกข้าวในกระถาง และทำขนมข้าวยาคู บอยบอกว่ายังมีกิจกรรมอีกเยอะที่กำลังจะตามมา และตั้งใจให้คนรุ่นใหม่หลงรักวิถีเกษตรแบบพอเพียงเช่นเดียวกัน
ที่ตั้ง : 104 ต.ศรีนาวา อ.เมือง จ.นครนายก
เวลาเปิดปิด : เปิดวันเสาร์-อาทิตย์ 8:00–18:00 น.
โทรศัพท์ : 081 868 9841
38.โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
“โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า” สถานที่ผลิตรั้วของชาติที่เปิดให้นักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถเดินทางเข้าไปชมพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 19,290 ไร่
ภายในมีการแบ่งกิจกรรมท่องเที่ยวที่น่าสนใจออกเป็นประเภทต่าง ๆ อันได้แก่ กิจกรรมทางทหาร, กิจกรรมนันทนาการ และกิจกรรมเชิงผจญภัย อาทิ ไต่หน้าผาจำลอง กระโดดหอสูง 34 ฟุต ยิงปืนบีบีกันและประลองความแม่นยำกับปืนจริง เล่นเลื่อนข้ามลำน้ำ พายเรือคายัก ปั่นจักรยาน
สำหรับจุดท่องเที่ยวสำคัญที่ไม่ควรพลาดก็คือ การเข้าไปสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้พระราชทานกำเนิดโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ต่อมาคือ ศาลาวงกลม หรือ ศาลาลม สถานที่ที่จอมพลสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถทรงดำริให้จัดสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของนักเรียนนายร้อย และเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูป ร.5
นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางเข้าไป นมัสการศาลเจ้าพ่อขุนด่านอันเป็นที่เคารพของประชาชนชื่นชมพระพุทธฉาย ภาพเขียนสีบนชะโงกผาของภูเขาซึ่งทุกกลางเดือน 3 จะมีการจัดงานนมัสการเป็นประจำทุกปี รวมไปถึงน้ำตกพระฉาย น้ำตกเล็ก ๆ สูง 30 ม. ไหลลงสู่แอ่งที่สามารถเล่นน้ำได้ ปิดท้ายด้วยการเยี่ยมชมสวนสมุนไพรอีกด้วย
ที่ตั้ง : 99 ม.1 ต.พรหมณี อ.เมือง จ.นครนายก
โทรศัพท์ : 037 393 185, 089 799 1429, 093 153 9058
เว็บไซต์ : https://www.tourismcrma.com/, https://www.facebook.com/tourismcrma/
39.เขื่อนขุนด่านปราการชล
ชื่อเดิมคือ “เขื่อนคลองท่าด่าน” หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเขื่อนแห่งนี้ เป็นเขื่อนคอนกรีตบดอัดยาวที่สุดในประเทศไทยและในโลก มีความยาวรวม 2,720 ม. ความสูง (สูงสุด) 93 ม. สร้างกั้นแม่น้ำนครนายกเพื่อจัดสรรทรัพยากรน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของชาวนครนายก รวมไปถึงจังหวัดใกล้เคียงได้อย่างเท่าเทียม
เขื่อนนี้สร้างขึ้นตามแนวพระราชดำริของในหลวง ร.9 เพื่อเก็บกักน้ำในช่วงหน้าฝนไว้ในหน้าแล้ง และควบคุมไม่ให้เกิดน้ำท่วมบ้านเรือนราษฎร ไร่นาและพื้นที่การเกษตรในหน้าฝน โดยสร้างครอบฝายท่าด่านเดิม
ไฮไลท์หลักของการเดินทางมาเที่ยวชมเขื่อนแห่งนี้ คือสามารถชมอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้จากบริเวณสันเขื่อนด้านหน้า และชมทิวทัศน์เมืองนครนายกด้านหลังเขื่อน รวมถึงมีการจัดตั้งโครงการในอนาคตเพื่อใช้เป็นแหล่งพักผ่อน รองรับกิจกรรมทางกีฬาในอนาคต
ส่วนกิจกรรมท่องเที่ยวยอดนิยมที่ไม่ควรพลาด ได้แก่ ล่องแก่งลำน้ำนครนายก ชมพันธุ์ไม้นานาชนิด พร้อมกับเรียนรู้เรื่อง การสร้างเขื่อนภายในพิพิธภัณฑ์ขุนด่านปราการชลตลอดจนชมอาคารที่ประทับเทิดพระเกียรติในหลวง ร.9 และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา
ที่ตั้ง : ต.หินตั้ง อ.เมืองนครนายก จ.นครนายก
เวลาเปิดปิด : 09:00-17:00 น. ทุกวัน
โทรศัพท์ : 037 384 192-3
40.ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีพระราชทานพระราชดำริให้สำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนาร่วมกับสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยดำเนินการจัดทำศูนย์นิทรรศการและแสดงแนวคิดและทฤษฎีการพัฒนาในด้านต่างๆของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอาทิด้านการเกษตรด้านปศุสัตว์ด้านสิ่งแวดล้อมและด้านพลังงานเพื่อเผยแพร่แนวพระราชดำริให้กว้างขวางและลึกซึ้งตลอดจนสาธิตความเป็นอยู่วิถีไทยด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม
โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานชื่อโครงการแห่งนี้ว่า “ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ” ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับเขื่อนขุนด่านปราการชลนั่นเอง
ที่นี่เป็นสถานที่รวบรวมข้อมูลและกิจกรรมที่แสดงให้เห็นโครงการอันเนื่องอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งแนวทางการพัฒนาตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงมุ่งการพัฒนาด้วยการแก้ไขปรับปรุงคุณภาพของ คน ดิน น้ำ ป่า อย่างเป็นระบบ
ที่ตั้ง : บ้านท่าด่าน ต.หินตั้ง อ.เมือง จ.นครนายก
โทรศัพท์ : 037 384 049
41.พิพิธภัณฑ์เจ้าพระยาอภัยภูเบศร
อาคารประวัติศาสตร์ในสถาปัตยกรรมยุโรปเก่าแก่ สร้างโดยเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นที่ประทับของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หากเสด็จฯ มายังมณฑลปราจีนบุรี จนต่อมาได้มีโอกาสเป็นที่ประทับแรมของรัชกาลที่ 6 และได้กลายเป็นสถานพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ในเวลาต่อมา
ปัจจุบันในส่วนโรงพยาบาลได้ย้ายไปอยู่ในอาคารใหม่ใกล้ๆ ส่วนตึกฝรั่งแห่งนี้ก็กลายเป็นที่จัดแสดงพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร ทั้งมีตู้เก็บสมุนไพร ครกบดยา รางบดยา หินฝนยา ตลอดจนตำรายาไทยให้ชม รวมทั้งมีบริการนวดแผนไทยสำหรับคนทั่วไปด้วย
นอกจากนี้ อย่าลืมแวะซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพรแบรนด์เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ที่มีให้เลือกหลากหลายภายในโรงพยาบาลด้วย
ที่ตั้ง : ถ.ปราจีนอนุสรณ์ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี
เวลาเปิดปิด : 08:30-16:30 น. ทุกวัน
โทรศัพท์ : 037 211 088 ต่อ 3166
42.บ้านเล่าเรื่องเมืองสมุนไพร
มาเที่ยวเมืองปราจีนบุรี เมืองแห่งสมุนไพรไทย เรา่เลยไม่อยากให้ทุกคนพลาดแหล่งนัดพบสำหรับสาวกสมุนไพร กับหนึ่งในร้านอาหารของมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ณ บ้านเล่าเรื่องเมืองสมุนไพรปราจีนบุรี อ.เมืองปราจีนบุรี ภายในตกแต่งน่ารักสไตล์สมุนไพร จากของตกแต่งตามผนัง มีทั้งอาหารคาวหวาน เมนูอาหารของที่นี่ปรุงจากพืชผักสมุนไพรไทย ราคาก็ไม่แพง อร่อยและได้ประโยชน์ทุกจาน
ที่ตั้ง : ตำบลหน้าเมือง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี
เวลาเปิดปิด 11.00 – 19.30 น.
โทรศัพท์ : 037 211 289
43.ภูมิภูเบศร ศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ บางเดชะ
อุทยานการเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ บางเดชะ เป็นอีกแหล่งความรู้ในเรื่องภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยและสมุนไพรที่มีบรรยากาศคลาสสิคราวกับได้ย้อนยุคไปร่วมสมัยเดียวกับ หมื่นชำนาญแพทยา หมอหลวงในรัชกาลที่ 5 เมื่อ 100 กว่าปีก่อนเลยทีเดียว
โดยภายในเรือนหมอพลอย มีทั้งพิพิธภัณฑ์หมอไทย ที่จัดแสดงภูมิปัญญาการรักษาโรคของหมอไทยในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นตำรับยา การเจียดยา รวมทั้งกิจกรรมเรียนรู้พร้อมเจ้าหน้าที่แนะนำ อย่างการผสมยาดมด้วยตัวเอง มีมุมเครื่องดื่มที่นำเอายาดองสูตรต่างๆ มาผสมให้ได้เครื่องดื่มรสชาติเฉพาะตัวแถมดีต่อสุขภาพ จุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
นอกจากนี้ ยังมีสวนสมุนไพร และโซนจัดแสดงไห ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
ที่ตั้ง : ต.บางเดชะ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี
เวลาเปิดปิด : 08:30-16:30 น. ทุกวัน
โทรศัพท์ : 097 098 3582
44.ชุมชนสมุนไพรบ้านดงบัง
แหล่งปลูกและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรให้กับโรงพยาบาลอภัยภูเบศร และภายใต้ชื่อแบรนด์ ดงบัง ของตัวเองด้วย นอกจากจะเป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงด้านสมุนไพรอันดับหนึ่งของปราจีนบุรี ยังเป็นแหล่งเรียนรู้สมุนไพรแห่งแรกของเมืองไทยที่รวบรวมความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรไว้มากมาย ตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก เก็บเกี่ยว และแปรรูป
กิจกรรมน่าสนใจ มีทั้งบริการนวดคลายปวดเมื่อยด้วยผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร กิจกรรมประดิษฐ์ลูกประคบ ทำน้ำสมุนไพร เลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร แถมยังมีโฮมสเตย์กลุ่มสมุนไพรบ้านดงบังให้พักด้วย
ที่ตั้ง : ต.ดงขี้เหล็ก อ.เมืองปราจีนบุรี จ.ปราจีนบุรี
เวลาเปิดปิด : 08:00-17:00 น. ทุกวัน
โทรศัพท์ : 087 087 5039
45.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติปราจีนบุรี
ที่นี่เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติซึ่งจัดแสดงวัตถุโบราณต่างๆ และบอกเล่าเรื่องราวจากครั้งอดีตได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ หรืออย่างน้อยด้านในก็คือห้องแอร์เย็นฉ่ำ จัดแสงสวยงามมากมาย
วัตถุโบราณส่วนมากมาจากยุคสมัยทวารวดี แต่ไฮไลท์ล่าสุดคือพระพิฆเนศหินทรายแกะสลักอายุกว่าพันปี ค้นพบที่เมืองโบราณศรีมโหสถ อ.ศรีโหสถ ปราจีนบุรี นี่แหละ เมื่อก่อนจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ก่อนย้ายกลับมาปราจีนบุรีไม่นานมานี้
ที่ตั้ง : ถ.ปราจีนอนุสรณ์ ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี
อัตราค่าเข้าชม : ชาวไทย 30 บาท , ชาวต่างชาติ 150 บาท
เวลาเปิดปิด : 09.00 – 16.00 น. วันพุธ – วันอาทิตย์
โทรศัพท์ : 03-721-1586
46.พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ์
ย้อนเวลาไปเดินเล่นชมของสะสมละลานตา ที่เก่าเก็บตั้งแต่เป็นร้อยปี มาจนยุคเรายังเด็ก ให้หวนรำลึกถึงความหลังกัน
โดยภายในพิพิธภัณฑ์แบ่งเป็นอาคารจัดแสดงถึง 5 อาคาร อาคาร 1 และ 2 รวบรวมเครื่องใช้ในบ้านสมัยก่อนที่หลายคนอาจจะเกิดไม่ทัน เช่น เตารีดโบราณ ตู้เย็นใช้น้ำมันก๊าด รวมทั้งตะเกียงเจ้าพายุหลากหลายชนิดที่ปัจจุบันหาดูได้ยากแล้ว อาคาร 3 จัดแสดงรูปเก่าของเมืองปราจีนบุรี อาคาร 4 สร้างเป็นหอทรงตะเกียง สำหรับขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ และอาคาร 5 รวบรวมเรือหลากหลายชนิดให้ได้ชม
ที่ตั้ง : ถ.ปราจีนตคาม อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี
เวลาเปิดปิด : 09:00-17:00 น. ปิดวันจันทร์
โทรศัพท์ : 081 295 8218
47.เมืองโบราณศรีมโหสถ
เมืองโบราณศรีมโหสถ เมืองเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ 6 ในอดีตที่นี่เคยเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่ เป็นศูนย์กลางความเจริญทั้งด้านศิลปะ วัฒนธรรม รวมถึงพุทธศาสนา ชมซากเมืองโบราณขนาดใหญ่ที่ยังเหลือร่องรอยอยู่ไม่น้อย พร้อมกับบูชารอยพระพุทธบาทคู่ ซึ่งถือเป็นรอยพระพุทธบาทขนาดใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองไทย
เป็นเมืองโบราณสมัยทวารวดีขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นรูปไข่ หรือสี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมมน มีเนื้อที่ประมาณ 700ไร่ ลักษณะของเมืองมีคูเมือง และคันดินกำแพงเมืองล้อมรอบคูน้ำ ภายในเมืองมีโบราณสถาน เนินดิน สระน้ำ บ่อน้ำ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปกว่า 100แห่ง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยทวารวดี หลักฐานส่วนใหญ่ที่พบมักจะเกี่ยวเนื่องกับศาสนาพราหมณ์ หรือฮินดู เช่น เทวาลัย เทวรูป ศิวลึงค์ โบราณสถานที่สำคัญในเมืองศรีมโหสถประกอบด้วย กลุ่มโบราณสถานกลางเมือง อายุราวพุทธศตวรรษที่ 18เป็นหมู่เทวาลัย ฐานก่อด้วยศิลาแลง ด้านบนก่อด้วยอิฐ
ด้านหลังมีบ่อน้ำก่อด้วยศิลาแลง อายุราวพุทธศตวรรษที่ 11-12 โบราณวัตถุที่ขุดพบ ได้แก่ เทวรูปต่าง ๆ และเศษเครื่องปั้นดินเผา สมัยลพบุรี สุโขทัย อยุธยาและรัตนโกสินทร์ ภูเขาทอง เป็นเจดีย์รูปกลม ลักษณะเหมือนโอคว่ำ สมัยทวารวดี โบราณสถานหมายเลขที่ 25 เป็นเทวาลัย รากฐานอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก่อด้วยศิลาแลง อายุราวพุทธศตวรรษที่ 11-12โบราณสถานสระแก้ว ตั้งอยู่นอกเมืองศรีมโหสถไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เป็นสระน้ำโบราณขนาดกว้างประมาณ 18 เมตร ขุดลงไปในชั้นของศิลาแลงธรรมชาติ ตัวสระเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ทางด้านทิศตะวันตกมีทางลงทำเป็นขั้นบันไดกว้าง 4เมตร ความยาวทางลง 13.60 เมตร ผนังขอบสระทุกด้านมีการแกะสลักภาพนูนต่ำเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น รูปช้าง มกร (มะกอน, มะกอระ หรือมะกะระ หมายถึง มังกร) สิงห์ หมู กินรี งูพันเสา สัตว์เหล่านี้เป็นสัตว์ชั้นสูง
สันนิษฐานว่าเป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของ กษัตริย์เมืองศรีมโหสถ อายุราวพุทธศตวรรษ ที่ 10-11 หลวงพ่อทวารวดีเป็นพระพุทธรูปเก่าสมัยทวารวดี ปางแสดงธรรม สูง 2 เมตร งานช่างแบบทวารวดี อายุราว พ.ศ. 1300-1500 ขุดพบที่นิคมโรคเรื้อน โรงพยาบาลคามิลโล อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี
ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่หอพระหน้าที่ว่าการอำเภอศรีมโหสถ ส่วนฐานพระพุทธรูปสลักหินชิ้นเดียวกับองค์พระเป็นรูปกลีบบัวหงาย พระบาท และข้อพระบาทสลักนูนสูงอิงติดกับแผ่นหลัง ช่วยถ่ายเทน้ำหนักให้ชำรุดยากยิ่งขึ้น องค์พระพุทธรูปครองจีวรห่มคลุม ไม่มีริ้ว แนบพระวรกาย ชายจีวรด้านหน้าห้อยตกลงมาเป็นรูปวงโค้ง ตามอย่างที่ปรากฏอยู่เสมอในงานช่างทวารวดี พระพักตร์ค่อนข้างกลม พระขนงเป็นสันหนาต่อกันเป็นรูปปีกกา พระเนตรโปน พระนาสิกใหญ่ ฝีพระโอษฐ์หนา ขมวดพระเกศาใหญ่ มีพระอุษณีษะโป่งนูนเล็กน้อย ตามอย่างงานช่างทวารวดีพื้นเมือง พระกรทั้งสองข้างยื่นออกมาจากพระองค์เล็กน้อยตามข้อจำกัดเรื่องขนาดหินที่นำมาสลัก ทำให้นิ้วพระหัตถ์ไม่สามารถแสดงอากัปกิริยาได้อย่างอิสระเท่ากับศิลปะต้นแบบในชมพูทวีป
จนดูคล้ายกับผิดสัดส่วน การแสดงวิตรรกะมุทรา คือปางแสดงธรรมทั้งสองพระหัตถ์ เป็นลักษณะที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในงานช่างอุษาคเนย์ช่วงก่อน พ.ศ. 1500 แต่นิยมมากที่สุดในงานช่างแบบทวารวดี
ที่ตั้ง : หมู่ 2 บ้านโคกวัด ต.โคกปีบ อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี
48.สวนไดโนเสาร์
สวนไดโนเสาร์ปราจีนบุรีตั้งอยู่ใน น้ำตกสวนสุนทร ปราจีนบุรี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหนึ่งที่กับกองทับไดโนเสาร์ตัวโตๆ
เป็นแลนด์มาร์คที่ชื่นชอบของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งมักจะหาเวลาว่างในช่วงวันหยุดพาบุตรหลานไปเที่ยว เป็นฝีมือของกลุ่มคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่รังสรรค์งานปั้นจากปูนมาเป็นรูปเคารพ และไดโนเสาร์ สัตว์โลกล้านปี ได้เหมือนมาก ปูนปั้นไดโนเสาร์มีขนาดใหญ่ หลากหลายพันธุ์ ซึ่งล้วนแต่มาจากการปั้นด้วยมือทุกตัว ก่อนลงสีให้ดูเหมือนจริง ไม่ใช่เป็นการถอดพิมพ์ เพราะฉะนั้นแต่ละตัวที่เห็นจะมีเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีตัวที่สองที่สาม ทุกวันหยุดจึงมีนักท่องเที่ยวที่พากันมาเที่ยวชมศึกษาความเป็นมาของสัตว์ดึกดำบรรพ์ และถ่ายรูปเป็นจำนวนมาก
ที่ตั้ง : ต.บุฝ้าย อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี
49.โรงเรียนกาสรกสิวิทย์
ชวนไปท่องเที่ยว “โรงเรียนกาสรกสิวิทย์” หรือ “โครงการธนาคารโคกระบือเพื่อเกษตรกรตามพระราชดำริเขต จ.สระแก้ว” ที่อัดเน้นไปด้วยความรู้ทางการเกษตร
กิจกรรมที่น่าสนใจภายในโครงการ ได้แก่ การอบรมเกษตรและฝึกกระบือ นิทรรศการ งานวิจัย แปลงนา สระมะรุมล้อมรัก และการทำบ้านดิน ซึ่งนอกจากการเข้าเยี่ยมชมโรงเรียนกาสรกสิวิทย์แล้ว ยังสามารถเข้าไปจิบกาแฟหอม ๆ คลายร้อนที่ร้านกาแฟ “ควายคะนอง” ได้อีกด้วย
สำหรับ โรงเรียนกาสรกสิวิทย์ ก่อตั้งขึ้นโดย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานวโรกาสให้ นายสมจิตต์ และนางมณี อิ่มเอย น้อมเกล้าฯ ถวายที่ดิน ต.ศาลาลำดวน อ.เมือง จ.สระแก้ว จำนวน 110-3-81 ไร่
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิชัยพัฒนา ดำเนินการจัดตั้งโรงเรียนกาสรกสิวิทย์ เพื่อให้เป็นสถานที่ฝึกกระบือให้สามารถทำการเกษตร และเป็นแหล่งที่ให้ผู้ที่สนใจได้เรียนรู้วัฒนธรรมการเกษตรท้องถิ่น และภูมิปัญญาชาวบ้าน รวมทั้งให้เกษตรกรได้เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบพอเพียง
ที่ตั้ง : เลขที่ 999 ต.สระแก้ว อ.เมือง จ.สระแก้ว
โทรศัพท์ : 037-244-615, 037-244-657, 088-289-1299
50.ปราสาทสด๊อกก๊อกธม
ชื่อแสนแปลกที่หลายคนสงสัย คือหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดใน จ.สระแก้ว มาถึงที่นี่ไม่ใช่แค่ท่องเที่ยวเท่านั้นแต่เราสามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์ได้หลายอย่าง ซึ่งที่มาของชื่อ “สด๊กก๊อกธม” หมายถึง “เมืองที่มีต้นกกขึ้นรกในหนองน้ำใหญ่” โดยสถานที่แห่งนี้สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 14 เพื่อใช้ประดิษฐานรูปเคารพและใช้ประกอบพิธีกรรมตามคติความเชื่อในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย
สำหรับตัวปราสาทก่อด้วยหินทรายมีโคปุระ หรือซุ้มประตู เหลืออยู่เพียงด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ภายในระเบียงคตมีบรรณาลัยก่อด้วยหินทราย 2 หลังอยู่หน้าปราสาทหลังกลางซึ่งเป็นปรางค์ประธาน ส่วนด้านนอกปราสาททางทิศตะวันออก มีสระน้ำขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมและมีถนนปูด้วยหินจากตัวปราสาทไปจนถึงสระน้ำ ปราสาทนี้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ด้วยความเชื่อที่ว่าทิศตะวันออกเป็นทิศแห่งพลังแสงสว่างและสิริมงคล ส่วนทิศตะวันตกเป็นทิศแห่งความตาย
โดยสิ่งสำคัญของการค้นพบ “ปราสาทสด๊กก๊อกธม” แห่งนี้คือการค้นพบศิลาจารึก 2 หลังที่จารึกด้วย อักษรขอมโบราณ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกถึงอายุการสร้างปราสาทสด๊กก๊อกธม ทั้งยังบอกถึงวัตถุประสงค์ของการสร้างจารึกหลักที่ 2 ด้วยว่าพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 ได้ปฏิสังขรณ์ปราสาทเมื่อปี พ.ศ.1595 และกษัตริย์แห่งอาณาจักรขอมได้เป็นผู้อุปถัมภ์ศาสนา
โดยมีพราหมณ์ปุโรหิตเป็นผู้นำศาสนา คอยให้คำปรึกษาแนะนำ และเป็นสื่อกลางระหว่างเทพเจ้าและกษัตริย์รวมทั้งประวัติ สายสกุลพราหมณ์ผู้ประกอบพิธีเทวราชา การปฏิบัติพระเทวราชและรูปเคารพ การสร้างหมู่บ้าน การบุญต่าง ๆ ในศาสนา เป็นต้น โดยปัจจุบันจารึกทั้ง 2 ถูกเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร
ที่ตั้ง : ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว
เวลาเปิดปิด : เปิดให้ชมทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น.