ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา “วัด” เปรียบเสมือนสถานที่ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยมาโดยตลอด ไม่ว่าเราจะไปที่ไหนทำอะไรชีวิตประจำวันในทุกช่วงชีวิตของเราก็จะมักจะมีความเกี่ยวข้องกับวัดอยู่เสมอๆ
ปัจจุบัน วัด ไม่ได้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาแต่อย่างเดียว เพราะปัจจุบัน วัด ได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบเต็มตัวอีก วัดไหนสวยงามและศักดิ์สิทธิ์ คนก็จะเยอะเป็นพิเศษ เป็นเหมือนกุศโลบายให้คนเข้าวัดนั่นเอง
คอนเทนต์นี้เรารวบรวม 50 วัดสวยน่าเที่ยวในภาคตะวันออกมาฝาก รับประกันว่า นอกจากจะได้ ไหว้พระ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังได้ไปถ่ายรูป เช็คอินสถานที่สวยๆ ไว้อวดเพื่อนๆ ในโลกโซเชียลอีกด้วย บอกเลยว่า ฟินแน่นอนจ้า
1.วัดโพรงอากาศ
ที่นี่เป็นวัดที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงาม โดยมีพระอุโบสถมหาเจดีย์ขนาดใหญ่สีทองอร่ามเป็นจุดศูนย์กลาง มีอุทยานพระพิฆเนศ ซึ่งประดิษฐานองค์พระพิฆเนศปางนั่งประทานพร องค์ใหญ่มาก สามารถมองเห็นได้แต่ไกลเลยทีเดียว
นอกจากจะได้ทำบุญและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว บริเวณโดยรอบของวัดยังมีทิวทัศน์ที่สวยงาม สามารถมองเห็นทุ่งนาเขียวขจีได้โดยรอบ
ที่ตั้ง : ต.โพรงอากาศ อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา
2.เทวสถานอุทยานพระพิฆเนศคลองเขื่อน (ปางยืน)
กราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์สักนิดที่ อุทยานพระพิฆเนศคลองเขื่อน ที่ประดิษฐานเทวรูปพระพิฆเนศองค์ใหญ่ ปางประทับยืน สูงถึง 39 เมตร สวยงามยิ่งใหญ่ แถมยังได้รับการออกแบบให้สะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของจังหวัดฉะเชิงเทราด้วยพระหัตถ์ทั้ง 4 ถือผลไม้ กล้วย อ้อย ขนุน มะม่วง
พื้นที่อุทยานกว้างขวาง พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ โดยนอกจากองค์ใหญ่แล้วยังมีพระพิฆเนศประจำวัน รวมถึงเทวรูปพระศิวะ และพระแม่อุมาเทวี ให้ผู้เคารพศรัทธากราบไหว้ขอพรกันด้วย
ที่ตั้ง : ต.บางตลาด อ.คลองเขื่อน จ.ฉะเชิงเทรา
3.วัดปากน้ำโจ้โล้
แวะชมพระอุโบสถสีทองอร่ามทั้งภายในและภายนอกที่วัดปากน้ำโจ้โล้ ถือเป็นไฮไลท์การมาเที่ยวของจังหวัดฉะเชิงเทราอีกแห่งก็ว่าได้ มีความสวยงามตลอดทุกช่วงเวลา
ที่นี่ยังเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์เพราะสมเด็จพระเจ้าตากสินเคยปะทะกับกองทัพพม่า พอได้รับชัยชนะก็ทรงให้สร้างองค์พระเจดีย์ขึ้นมา ก่อนเวลาต่อมาจะพัฒนาเป็นสำนักสงฆ์ และวัดปากน้ำโจ้โล้ ดังเช่นปัจจุบัน
ที่ตั้ง : ถนนวนะภูติ ต.ปากน้ำ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา
4.วัดโพธิ์บางคล้า
ไม่ไกลจากตลาดน้ำบางคล้า เป็นที่ตั้งของวัดโพธิ์บางคล้า ที่อยู่อาศัยของค้างคาวแม่ไก่นับพันตัว ค้างคาวเหล่านี้จะห้อยหัวพักผ่อนตามต้นไม้น้อยใหญ่ในวัด เรื่องน่าแปลกคือพวกมันไม่เกาะตามต้นไม้ที่อยู่นอกเขตรั้ววัดเลยทั้งที่ก็มีต้นไม้ไม่น้อย เหมือนรู้ว่าที่ปลอดภัยที่สุดต้องอยู่ในรั้ววัด พอตกเย็นก็จะบินออกหากิน และกลับมาอีกครั้งตอนฟ้าใกล้สว่าง
วัดโพธิ์บางคล้ายังมีบรรยากาศร่มรื่น เงียบสงบ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย รวมถึงพระพุทธไสยาสเก่าแก่ ภายในวิหารหลังเก่า ที่คาดว่าน่าจะสร้างขึ้นสมัยกรุงธนบุรี
ที่ตั้ง : ถนนระเบียบกิจอนุสรณ์ ต.บางคล้า อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา
5.วัดสมานรัตนาราม
วัดสมานรัตนารามหรือที่คนทั่วไปเรียกว่าวัดพระพิฆเนศฉะเชิงเทราโดยมีจุดเด่นอยู่ที่องค์พระพิฆเนศปางนอนเสวยสุขสีชมพูที่มีขนาดใหญ่จนอาจจะเรียกว่าที่สุดของไทยรวมทั้งศิลปะการปั้นที่งดงามยิ่งทำให้องค์พระพิฆเนศในท่ากึ่งเอนนอนนี้ชวนให้ศรัทธาน่าสักการะโดยมีความหมายสื่อถึงความมีกินมีใช้ไร้ปัญหาวุ่นวายใจและมีความสุขสำราญ
ส่วนใครที่ปรารถนาสิ่งใดก็สามารถกระซิบฝากไปกับเหล่าบริวารหนูที่ทางวัดตั้งไว้ถือเป็นอีกกิมมิคที่น่ารักดีนอกจากองค์พระพิฆเนศแล้วภายในวัดยังรวบรวมสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากหลายศาสนาความเชื่อมาไว้ในที่เดียวแถมมาในขนาดที่ใหญ่อลังการไม่ว่าจะเป็นพระพรหมเจ้าแม่กวนอิมพระราหูพญานาคหลวงพ่อโตเป็นต้น
ส่วนใครที่อยากนั่งพักเหนื่อย ทางวัดมีที่นั่งริมแม่น้ำบางปะกง รวมทั้งโซนอาหารและเครื่องดื่มคอยให้บริการด้วย
ที่ตั้ง : ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
6.วัดจีนประชาสโมสร (เล่งฮกยี่)
วัดจีนประชาสโมสร หรือ วัดเล่งฮกยี่ เป็นวัดจีนที่มีความสำคัญมากแห่งหนึ่ง เพราะมีความเกี่ยวเนื่องกับ วัดมังกรกมลาวาส (เล่งเน่ยยี่) ที่เยาวราช และวัดมังกรบุปผาราม (เล่งฮัวยี่) ที่จันทบุรี โดยวัดเล่งเน่ยยี่เปรียบเหมือนหัวมังกร วัดเล่งฮกยี่แห่งนี้เหมือนลำตัวมังกร และวัดเล่งฮัวยี่คือหางมังกร ใครเคารพศรัทธาทางนี้ต้องตามเก็บให้ครบทั้งสามแห่ง
ในวัดมีพระพุทธรูปทางฝั่งมหายาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ องค์เทพต่างๆ ตามความเชื่อชาวจีนมากมาย เปิดให้นักท่องเที่ยวทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนาและความเชื่อเข้าเยี่ยมชมได้
ที่ตั้ง: ถนนศุภกิจ ต.บ้านใหม่ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
7.วัดหงษ์ทอง
วัดหงษ์ทอง อีกหนึ่งวัดกลางน้ำที่สวยที่สุดของจังหวัดฉะเชิงเทรา มีทางเดินเชื่อมจากบริเวณวัดที่ชายฝั่งไปยังพระธาตุคงคามหาเจดีย์ปรีชาประภากร ปราชญ์ ศรนิล อนุสรณ์ และอุโบสถซึ่งอยู่ในทะเล
เจดีย์มี 5 ชั้นมีภาพวาดเกี่ยวกับพุทธศาสนาและพระมหากษัตริย์ไทย และประดิษฐานพระพุทธรูปต่างๆ
ที่ตั้ง : ต.สองคลอง อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา
8.วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์
วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ หรือที่ชาวแปดริ้วเรียกสั้นๆ ว่า “วัดเมือง” เป็นวัดที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ สร้างขึ้นเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 3 จนในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้รับพระราชทานนามว่าวัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์แปลว่าวัดที่อาพระเจ้าแผ่นดินสร้าง
ภายในวัดมีทั้งพระอุโบสถที่มีพระปรมาภิไธยย่อ จปร ของรัชกาลที่ 3 ส่วนด้านในประดิษฐานสมเด็จพระมหาพุทธรักษ์รณเรศ ให้ได้สักการะ
ที่ตั้ง : ถ.มรุพงษ์ ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
9.วัดโสธรวรารามวรวิหาร
วัดโสธรวรารามวรวิหารวัดเก่าแก่คู่เมืองแปดริ้วประดิษฐานหลวงพ่อพุทธโสธรพระพุทธรูปอันเป็นที่เคารพสักการะของคนไทยให้ต่างหลั่งไหลเข้ามากราบไหว้และขอบารมีจากหลวงพ่อเพื่อปกป้องคุ้มครอง
มีความเชื่อในการบนบานด้วยไข่ต้มในสิ่งที่ตนปรารถนา ซึ่งหากเทียบกับปริมาณของไข่ต้มที่มีคนนำกลับมาแก้บนทุกวัน ก็น่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อได้เป็นอย่างดี
ที่ตั้ง : ถ.เทพคุณากร ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
10.วัดอุภัยภาติการาม
วัดอุภัยภาติการาม ประดิษฐานเจ้าพ่อซำปอกง ขนาดหน้าตักกว้าง 6.50 เมตร สูงประมาณ 12 เมตร ซึ่งในไทยมีเพียง 3 องค์ในไทย คือที่วัดกัลยาณมิตร วัดพนัญเชิง และที่วัดอุภัยภาติการามแห่งนี้
กล่าวกันว่าเป็นองค์ที่สร้างจำลองแบบมาจากหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ยังได้รับพระราชทานพระราชทรัพย์เพื่อสร้างอารามและปฏิสังขรณ์พระพุทธรูป พร้อมกับพระราชทานนามวัดว่า วัดอุภัยภาติการาม จนถึงปัจจุบัน
ที่ตั้ง : ถ.ศุภกิจ ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
11.วัดอโศการาม
วัดอโศการาม ภาพที่ผู้มาเยือนมักจะพบเห็นเป็นประจำในยามเย็น คือเหล่าผู้เลื่อมใสศรัทธาในธรรมพากันนุ่งขาวห่มขาวเดินจงกรมรอบพระธุตังค์เจดีย์ ซึ่งเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
นอกจากนี้ภายในตัววัดยังมีต้นศรีมหาโพธิ์จากประเทศอินเดีย ลานอนุสาวรีย์พระเจ้าอโศกมหาราช และวิหารสุทธิธรรมรังสี ให้ได้เยี่ยมชมและสักการะ ใครที่กำลังหาสถานที่สงบๆ เพื่อฝึกสมาธิ ขอแนะนำเลย
ที่ตั้ง : ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
12.วัดสาขลา
วัดสาขลา ถือเป็นวัดเก่าแก่ศูนย์รวมจิตใจของชุมชน เป็นที่ตั้งของพระปรางค์เอน ในอุโบสถประดิษฐานหลวงพ่อโต ส่วนด้านล่างอุโบสถ เมื่อลอดผ่านพระราหูเหมือนเป็นการสะเดาะเคราะห์แล้ว ด้านในจะมีทั้งลูกนิมิตรเอก และพระพุทธรูปโบราณให้ชม เช่น องค์พระแฝดหันหลังชนกัน ที่เพิ่งขุดค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ เป็นต้น
มาแล้วห้ามพลาดเดินเล่นเข้าไปในชุมชนบ้านสาขลา จะพบกับตรอกซอกซอยเล็กๆ และบรรดาบ้านเรือนที่ยกเสาสูงเหนือน้ำ มีคลองเล็กๆ ตัดผ่านจนบางคนบอกว่าคล้ายบรรยากาศเวนิสแบบไทยๆ เข้ามาเดินเล่นถ่ายรูป เล่นกับแมว พูดคุยกับลุงป้าน้าอา จะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเป็นกันเองมากๆ
นอกจากนี้ ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ จะยิ่งคึกคัก เพราะเปิดเป็นตลาดโบราณบ้านสาขลาให้นักท่องเที่ยวมากระจายรายได้สู่ชุมชน
ที่ตั้ง : ต.นาเกลือ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ
13.วัดโปรดเกศเชษฐาราม
วัดโปรดเกศเชษฐาราม อยู่ที่ถนนทรงธรรม ตํา บลทรงคะนอง อยู่ถัดจากวัดไพชยนต์ฯ เล็กน้อย เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีเป็นวัดพุทธไทยเพียงวัดเดียวในย่านพระประแดง เพราะวัดอื่นๆ มักจะเป็นวัดพุทธรามัญ พระยาเพชรพิไชย(เกตุ)
สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 มีลักษณะสถาปัตยกรรมดีเด่นคือ พระอุโบสถไม่มีช่อฟ้าใบระกา หน้าบันมีศิลปะปูนปั้นลายเครือเถาประดับเครื่องลายคราม ภายในมีพระประธานปางมารวิชัยหล่อด้วยโลหะ พระวิหารมีลักษณะสถาปัตยกรรมเช่นเดียวกับพระอุโบสถ ภายในมีพระพุทธไสยาสน์พระพักตร์งามมาก เหนือหน้าต่างมีภาพปริศนาธรรมเป็นศิลปะตะวันตกแปลกตาหาดูยาก
นอกจากนี้ยังมีพระมณฑปหลังคามุงด้วยกระเบื้องรางรายรอบด้วยเก๋งจีน ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ มีพระปรางค์ที่มุมทั้ง 4 ด้าน ภายในพระมณฑปมีพระพุทธรูปและรอยพระพุทธบาทจําลองประดับมุข
ที่ตั้ง : ต.ทรงคะนอง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
14.วัดทรงธรรมวรวิหาร
วัดทรงธรรมวรวิหาร หนึ่งในพระอารามหลวงชั้นโทซึ่งสร้างขึ้นพร้อมการถือกำเนิดของเมืองนครเขื่อนขันธ์ ใน รัชกาลที่ 2 โดยมีพระรามัญเจดีย์ 3 ชั้นองค์ใหญ่ ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ ไว้โดยรอบ
ส่วนพระอุโบสถสร้างตามแบบก่ออิฐถือปูน โดดเด่นด้วยเสาทรงกลมเรียงเป็นคู่ๆ นับได้รวมถึง 56 ต้น ที่มีเสามากมายเช่นนี้ก็เพื่อรองรับชานพระอุโบสถกว้างขวางนั่นเอง ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยสุโขทัยในกรอบไม้แกะสลักศิลปะมอญ ทั่วพระอุโบสถตกแต่งภาพจิตรกรรมพุทธประวัติและพระเวสสันดรชาดกบนผนัง ส่วนบนเพดานประดับภาพเขียนมอญ 2 ภาพ
ส่วนพระวิหารก่อสร้างในลักษณะก่ออิฐถือปูน ประดับช่อฟ้าใบระกาไม้สัก เบื้องหน้าพระประธานในซุ้มโลหะสลักลายวิจิตรแปลกตา คือรอยพระพุทธบาทจำลองประดับมุกให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะ นับเป็นแหล่งรวมศิลปะมอญชั้นสูงที่ยังคงสภาพสมบูรณ์และงดงามอย่างหาดูได้ยากแห่งหนึ่งในประเทศไทย
ที่ตั้ง: ต.ตลาด อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
15.พระสมุทรเจดีย์
วัดพระสมุทรเจดีย์ (พระเจดีย์กลางน้ำ) เริ่มก่อสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 แล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 4 สร้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์ให้กับผู้ที่เดินเรือเข้ามา ว่าได้เดินทางเข้าสู่ ปากแม่น้ำเจ้าพระยา และเข้าสู่สยามแล้ว
เป็นวัดที่มีทั้งสถาปัตกรรมไทย จีน และตะวันตกผสมผสานกันอย่างลงตัว เหตุที่เรียกว่า พระเจดีย์กลางน้ำ ก็เพราะเมื่อก่อนบริเวณนี้เป็นเกาะมีน้ำล้อมรอบ แต่ปัจจุบันตื้นเขินจนกลายเป็นแผ่นดินติดกันไปแล้วนั่นเอง โดยทุกวันแรม 5 เดือน 11 ชาวสมุทรปราการจะจัดงานเฉลิมฉลององค์พระสมุทรเจดีย์รวมไปถึงร่วมสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ของรัชกาลที่ 2 ด้วย
ที่ตั้ง : ถ.สุขสวัสดิ์ ต.ปากคลองปลากด อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ
16.วัดบางพลีใหญ่ใน
วัดบางพลีใหญ่ใน อยู่ติดกับตลาดน้ำโบราณบางพลี เป็นวัดโบราณที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ในชัยชนะของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชต่อพม่า
ภายในอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อโต พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย ปางมารวิชัยลืมเนตร ซึ่งเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาอย่างมาก นอกจากนี้ในช่วงวันขึ้น 11 ค่ำ ถึงวันที่ 14 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ยังมีงานประเพณีรับบัว บริเวณริมคลองบางพลี ซึ่งมีความเก่าแก่และสวยงามมาก
ที่ตั้ง : ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
17.พุทธอุทยานมาฆบูชาอนุสรณ์
ที่นี่สร้างขึ้นจำลองเหตุการณ์สำคัญวันมาฆบูชา พระอรหันต์ 1,250 รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมายที่วัดเวฬุวัน และพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโอวาทปฎิโมกข์ มีความสวยงามน่าเที่ยวชม ที่สำคัญยังอยู่ใกล้กับสถานที่เที่ยวต่างๆ ของนครนายก แวะมาเที่ยวสักนิดไม่เสียหาย รับรองว่าถ่ายรูปสวยแน่นอน
ที่ตั้ง: ต.สาริกา อ.เมือง จ.นครนายก
18.วัดพราหมณี
“วัดหลวงพ่อปากแดง” หรือชื่อทางการของวัดคือ “วัดพราหมณี” ถือเป็นวัดดังและเก่าแก่มาก ๆ อีกหนึ่งแห่งในเมืองนครนายก เพราะที่นี่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัย ร.5 นอกจากที่นี่จะเป็นวัดที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปกราบไหว้ขอพระเพื่อความเป็นสิริมงคลแล้ว ยังเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ทำสมาธิจิตใจให้สงบอีกด้วย
ไฮไลท์สำคัญของวัดอันเป็นที่มาของชื่อวัดหลวงพ่อปากแดง ก็คือ องค์หลวงพ่อปากแดง ที่เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ สร้างด้วยโลหะสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้างประมาณ 49 นิ้ว, สูง 1 ม. เป็นศิลปะสมัยล้านช้าง และที่เห็นได้ชัดคือ พระโอษฐ์ หรือปาก ของพระพุทธรูปที่มีสีแดง คล้ายกับการเอาลิปสติกมาทาไว้นั่นเอง
และเมื่อถามไปยังคนเฒ่าคนแก่แล้วต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีใครนำสีไปทาแต่อย่างใด ถือเป็นความอัศจรรย์ใจอีกหนึ่งวัดดังที่ห้ามพลาดเมื่อมาถึงนครนายกเลยก็ว่าได้
ที่ตั้ง : ถ.สาริกา-นางรอง (กม.4) ต.สาริกา อ.เมือง จ.นครนายก
19.อุทยานพระพิฆเนศ
อุทยานพระพิฆเนศ หนึ่งในสถานที่ประดิษฐานของเทวรูปพระพิฆเนศปางประทานพร องค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
สวยโดดเด่นด้วยตัวองค์พระสีชมพู หน้าตักกว้าง 9 ม. ถัดจากนั้นใกล้ ๆ กันจะเป็นที่ตั้งของพระพิฆเนศปางไสยาสน์ ส่วนด้านหลังยังมีอาคารพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมองค์พระพิฆเณศจำนวนถึง 108 ปาง และหอมหาเทพ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระศิวะ พระพรหม พระวิษณุ ฯลฯ
ด้านหน้าพระพิฆเณศ มีหนูหูทิพย์ โดยมีความเชื่อว่าเมื่อกระซิบขอพรที่หูหนู หนูก็จะนำพรที่เราขอไปบอกกับพระพิฆเณศ วิธีการคือปิดหูหนู 1 ข้างแล้วกระซิบกับหูอีก 1 ข้างของหนูพรที่ของพระพิฆเณศ ส่วนความศักดิ์สิทธิ์นั้น เพื่อน ๆ ก็ลองไปกระซิบกันดู ส่วนความเชื่ออีกอย่างที่หลายคนนับถือเพราะ องค์พระพิฆเนศ ถือเป็นเทพเจ้าผู้มีปัญญาดีเลิศ เป็นเจ้าแห่งความรู้ ฉลาด รวมถึงเป็นเทพแห่งศิลปะอีกด้วย
ที่ตั้ง : 24/4 ม.11 ถ.นครนายก-น้ำตกสาริกา (สี่แยกประชาเกษม) ต.สาริกา อ.เมือง จ.นครนายก
20.วัดเขาทุเรียน
วัดเขาทุเรียน ตั้งอยู่ที่ ต.เขาพระ อ.เมือง จ.นครนายก อยู่ในหมู่บ้านเขาทุเรียน มีพระครูสิทธิคีรีรักษ์ เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งท่านได้เนรมิตวัดนี้ให้เป็นสถานที่ท่องแดนธรรมของชาวพุทธ ที่โดดเด่นในจังหวัดนครนายก วัดเขาทุเรียน สร้างขึ้นโดยชาวมอญ แล้วบูรณปฏิสังขรณ์โดยกลุ่มชนชาวลาวเวียงจันทน์ ที่อพยพเข้ามาในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์
จุดเด่นของวัดนี้ คือทั้งวัด ตกแต่งประดับประดาด้วยสีชมพูทั้งวัด โดยเฉพาะพระอุโบสถ ที่มีสีชมพูสวยงาม อีกทั้งวัดนี้ เคยได้รับรางวัลสุดยอดส้วมแห่งปี 2552 ภายในห้องน้ำมีการติดแอร์ โดยบริเวณห้องน้ำจะมีการแยกสัดส่วนที่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำชาย ห้องน้ำหญิง และห้องน้ำผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ เป็นห้องน้ำที่ดูสะอาดและแปลกตากว่าห้องน้ำปกติที่เคยเห็นตามสถานที่ทั่วไป
ที่ตั้ง : ต.เขาพระ อ.เมือง จ.นครนายก
21.วัดเขานางบวช
วัดแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในวัดสำคัญของจังหวัดนครนายก ว่ากันว่าหากจะปฏิบัติภารกิจไหว้พระ 9 ไหว้ของที่นี่ให้สมบูรณ์ หนึ่งในนั้นจะต้องรวมวัดเขานางบวชไว้ด้วย นอกจากรอยพระพุทธบาทจำลองที่สร้างขึ้นเมื่อเกือบหนึ่งร้อยปีมาแล้ว พระมณฑปบนยอดเขายังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ศักดิ์สิทธิ์อีกหลายองค์ เป็นที่เคารพสักการะของประชาชน
ทุกเดือนเมษายนจะมีงานประจำปีที่วัดเขานางบวช คืองานสักการะรอยพระพุทธบาทจำลองซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในพระมณฑปบนยอดเขา ขณะที่วันออกพรรษาจะมีงานตักบาตรเทโวยิ่งใหญ่ โดยนักท่องเที่ยวจะต้องเดินขึ้นบันไดสูงชันกว่า 227 ขั้น เพื่อขึ้นไปบนยอดเขา
ที่ตั้ง : ต.สาริกา อ.เมือง จ.นครนายก
22.วัดคีรีวัน
สักการะองค์พระแก้วมรกตจำลอง (สร้างจากเรซิ่น) ใหญ่ที่สุดในโลก ณ วัดคีรีวัน วัดสวยที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองนครนายก
พระมณฑป ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตจำลองอยู่บนเนินเขาลูกย่อมๆ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถขับรถขึ้นไปถึงข้างบนได้ นอกจากนั้นนักท่องเที่ยวยังจะได้สัมผัสกับศิลปะสถาปัตยกรรมแบบอารยธรรมขอมที่พบเห็นได้ในภาคอีสาน เป็นปราสาทขอมองค์ใหญ่ซึ่งเพิ่งสร้างใหม่เพื่อเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโพธิ์ 1,000 ปี พระพุทธรูปปางนาคปรกแกะจากไม้ต้นโพธิ์ อันมีพุทธศาสนิกชนมอบให้กับทางวัดเมื่อ ปี พ.ศ. 2554 ที่ผ่านมา
ที่ตั้ง : ต.ศรีนาวา อ.เมือง จ.นครนายก
23.วัดถ้ำสาริกา
ตั้งอยู่บนภูเขาลูกเล็กๆ ภายในวัดถ้ำสาริกา อ.เมือง จ.นครนายก มีลักษณะเป็นเพิงหินเล็กๆ ภายใต้ก้อนหินขนาดใหญ่ลึก เข้าไปในหินประมาณ 3 เมตร เคยเป็นสถานที่ ที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระเกจิอาจารย์ชื่อดังระดับประเทศ เคยเดินทางมาธุดงค์ ฝึกวิปัสนากรรมฐาน ในช่วงที่ท่านธุดงค์ ในเขตป่าภาคกลาง ปัจุจบันในถ้ำ ประดิษฐานรูปหล่อหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ขนาดเล็กกว่าองค์จริงเล็กน้อย
ด้านในถ้ำประดิษฐานรูปหล่อหลวงปู่มั่น ขนาดเล็กกว่าองค์จริงเล็กน้อย ด้านบนหินมีต้นไทรต้นใหญ่แผ่รากคอบคลุมหิน ก้อนนี้อยู่ ปัจจุบันทางวัดได้สร้างศาลาคอนกรีตถาวรคลุมบริเวณหน้าถ้ำไว้เพื่อสะดวกในการมาสักการะและปฏิบัติธรรมร่มเย็นดีมาก
ที่ตั้ง : ต.สาริกา อ.เมือง จ.นครนายก
24.วัดปทุมวงศาวาส
จุดเด่นน่าสนใจของวัดแห่งนี้คือสถูปกุสาวดีจำลองแบบอินเดีย อันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในสถูปยังมีเสาอโศกที่สลักจากหินหยกอินเดียอันศักดิ์สิทธิ์ผู้คนนิยมมาสักการะบูชาพร้อมเก็บภาพเป็นที่ระลึก
ภายในวัดยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นไทยพวน จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ของชาวไทยพวน รวมไป ถึงมีการรวมกลุ่มชาวบ้านทอผ้าและจัดจำหน่าย ผ้าทอไทยพวน ทำจากไหมประดิษฐ์โทเร ใยสังเคราะห์หลากหลายลาย อาทิ ลายโบราณ ลายผ้ามัดหมี่ ผ้าขาวม้า เป็นต้น
ที่ตั้ง : ต.เกาะหวาย อ.ปากพลี จ.นครนายก
25.วัดมณีวงศ์
วัดมณีวงศ์ เป็นวัดที่มีพุทธศิลป์ที่สวยงามควรค่าแก่การมาเยี่ยมชม เริ่มตั้งแต่ซุ้มประตูวัด พระพุทธรูปสีเหลืองทองป่างปาเลยไลยก์ วิหารเซียนที่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ด้านบน พระอุโบสถ สวนปฏิบัติธรรม ที่สร้างด้วยศิลปะที่อ่อนช้อยงดงามและแปลกตาจากที่เคยเห็น เดินชมได้แบบตื่นตาตื่นใจ และถือโอกาสได้ทำบุญอีกด้วย
ปูชนียสถานที่สำคัญ ตรงกลาง คือ พระพุทธรูปสีเหลืองทองป่างปาเลยไลยก์ประทับนั่งอยู่บนก้อนศิลา ด้านขวา คือ พระอุโบสถ ด้านซ้ายคือวิหารเซียนที่ด้านบน ประดิษฐานพระพุทธรูปขาดใหญ่ นามว่า หลวงพ่อพันล้านพระพุทธรัตน์มณีศรีหทัยนเรศวร์
นอกจากนี้ ซุ้มประตูทางเข้าวัดสีทองอลังการก็สวยงามไม่แพ้กัน มีรูปปั้นพญานาคซึ่งเป็นมนุษย์ผู้ชายเฝ้าประตูทั้งสองฝั่ง ส่วนกำแพงวัดเป็นสีทองทอดยาวโดดเด่นด้วยลวดลายแกะสลัก ปลายสุดของกำแพงเป็นรูปดอก มีพระพุทธรูปอุ้มบาตรอยู่ตามช่องประตู สวยงามแปลกตา
ที่ตั้ง : ถ.นครนายก-บ้านสร้าง ต.ดงละคร อ.เมือง จ.นครนายก
26.วัดเลขธรรมกิตต์
วัดเลขธรรมกิตต์ เป็นวัดเก่าแก่ปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาที่มีโบสถ์เก่าอายุกว่าร้อยปี เหลือเพียงผนังบางส่วนและซุ้มประตูวัดที่ถูกปกคลุมด้วยรากโพธิ์ขนาดใหญ่ กลายเป็นสถาปัตยกรรมธรรมชาติที่ผ่านกาลเวลามาได้อย่างสวยงาม กลายเป็นประตูสู่กาลเวลา ดูคล้ายๆ กับที่วัดพระงาม จ.พระนครศรีอยุธยา จนกลายเป็นแหล่งเช็คอินอีกหนึ่งแห่งที่ควรค่ามาเยี่ยมของของนครนายก
ที่ตั้ง : ต.บางอ้อ อ.บ้านนา จ.นครนายก
27.วัดใหญ่ทักขิณาราม
วัดเก่าแก่วัดหนึ่งในจังหวัดนครนายก สร้างขึ้นในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อครั้งที่ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้ทำศึกชนะล้านช้าง จึงกวาดต้อนชาวลาว เข้ามายังในสยาม และส่วนหนึ่งได้ให้มาตั้งหลักปักฐาน อยู่ที่จังหวัดนครนายก มีชื่อเรียกว่า บ้านใหญ่ลาว ประมาณ 3-4 ร้อยหลังคาเรือน เมื่อตั้งหลักแหล่งแล้วก็ช่วยกันสร้างวัดด้วยศิลปะแบบล้านช้าง โดยเรียกว่า วัดใหญ่ลาว
พระอุโบสถซึ่งมีขนาดกว้าง 6เมตร ยาว 10.15 เมตร สูง 10 เมตร มีกำแพงแก้วล้อมรอบ สร้างโดยช่างชาวเวียงจันทน์ ลักษณะพระอุโบสถเป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ก่ออิฐถือปูน บานประตูเป็นไม้แกะสลักกรอบด้านขวามือเป็นรูปยักษ์ถือกระบองชูขึ้น และเท้าบั้นเอว หน้าบันเป็นไม้แกะสลักรูปเทพพนม กำแพงแก้วมีซุ้มประตูโค้งเลียนแบบศิลปตะวันออก มีทหารสวมหมวกแต่งกายแบบยุโรปถือกระบองเป็นทวารบาลด้านละ 2 คน ด้านนอกกำแพงแก้วด้านทิศตะวันตกมีเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองแบบทรงเครื่องดูสวยงาม
ที่ตั้ง : ต.บ้านใหญ่ อ.เมือง จ.นครนายก
28.วัดแก้วพิจิตร
วัดในนิกายธรรมยุติแห่งแรกของจ.ปราจีนบุรี โดดเด่นที่พระอุโบสถซึ่งสร้างโดยเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานทั้งไทย จีน ยุโรป และเขมร
ส่วนภายใน นอกจากประดิษฐาน หลวงพ่ออภัย พระประธานที่ได้รับพระราชทานนามจากรัชกาลที่ 5 ยังจะได้พบกับความประณีตผ่านภาพวาดเรื่องราวพระพุทธศาสนาบนแผ่นผ้า วาดโดยช่างหลวงในสมัยรัชกาลที่ 6 แถมยังซ่อนปริศนาธรรมเอาไว้ เช่น นาฬิกาไม่ยอมเที่ยง ปริศนาธรรมด้านการปกครอง ขณะที่ด้านหน้าจะพบอาคารเรียนหนังสือไทยนักธรรมบาลี เป็นรูปสถูปโดมแบบศิลปะกรีกโรมัน ดูแปลกตาด้วย
ที่ตั้ง : ถ.แก้วพิจิตร อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี
29.วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ
หากต้องการชมต้นโพธิ์ต้นแรกของเมืองไทย ที่ อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี คือสถานที่แห่งคำตอบของคุณ เพราะที่นี่มีต้นโพธิ์ในตำนานที่มีอายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี ที่ว่ากันว่าเป็นกิ่งโพธิ์จากต้นโพธิ์ต้นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าทรงประทับบำเพ็ญธรรมจนสำเร็จตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตามตำนานเล่าสืบต่อกันว่าในอดีตพระเจ้าทวานัมปะยะดิษฐ์ เจ้าผู้ครองเมืองศรีมโหสถ ทรงมีความเลื่อมใสในพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก จึงส่งคณะทูตเดินทางไปขอกิ่งต้นโพธิ์จากพระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยาจากเจ้าผู้ครองนครปาตุลีบุตร ประเทศอินเดียเพื่อนำมาปลูกไว้ที่วัดพระศรีมหาโพธิ์
ปัจจุบันต้นโพธิ์ต้นนี้ ก็กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งในวันสำคัญทางพุทธศาสนาที่นี่มักจะมีงานนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นประจำทุกปี เพื่อสัมผัสขนาดความใหญ่ของต้นโพธิ์ ที่มีการวัดเส้นรอบวงของลำต้น 20 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 25 เมตร และสูงตระหง่านถึง 30 เมตร ทำให้แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปมากมายกลายเป็นร่มเงาและให้ความร่มเย็นขยายไปทั่วบริเวณ
ที่ตั้ง : ต.โคกปีบ อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี
30.วัดแจ้ง
อีกหนึ่งวัดงามและเก่าแก่แห่งเมืองปราจีนบุรี “ วัดแจ้ง” มานมัสการหลวงพ่อเพชร พระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร ศิลปะเชียงแสน พระพุทธรูปเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดปราจีนบุรี ได้มาในระหว่างปี พ.ศ. 2375-2391 เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) โปรดเกล้า ฯ ให้ เจ้าพระยาบดินทร์เดชา(สิงห์ สิงหเสนี) สมุหนายกเป็นแม่ทัพใหญ่คุมทหาร 4 กองทัพไปช่วยเขมรทำสงครามปราบทัพญวนแล้วเสร็จจึงยกกองทัพกลับ
ระหว่างทางได้มาถึงทุ่งโล่งแห่งหนึ่ง ไฟกำลังเผาผลาญจนโล่งเตียน ท่ามกลางเพลิง ที่ลุกไหม้นั้นดงไม้กล่งทุ่งเขียวชะอุ่มไม่ไหม้ไฟ จึงเข้าไปดู จึงได้พบพระพุทธรูปองค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ ณ เจดีย์เก่าแก่พุพัง มีต้นโพธิ์ ขนาดใหญ่ขึ้นปกคลุมจึงได้ทำพิธีอัญเชิญกลับมากองทัพ ระหว่างทางได้หยุดพัก ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง จากนั้นจึงได้สร้างวัดขึ้นไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงชัยชนะในครั้งนั้น คือ “วัดแจ้ง”
และได้นำพระพุทธรูปมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้พร้อมขนานนามพระพุทธรูปว่า “หลวงพ่อเพชร” ซึ่ง ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในวิหารแบบล้านนา นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีองค์พระธาตุเจดีย์ สร้างอยู่กลางน้ำ จำลองมาจากพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม ที่ด้านในมีพระบรมสารีริกธาตุ
ที่ตั้ง : ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี
31.วัดโคกอู่ทอง
วัดสวยแห่งเมืองปราจีนบุรี ที่มีสถาปัตยกรรมการก่อสร้างที่แปลกตา ดูละม้ายคล้ายกับโบสถ์คริสต์ สูง 32 เมตร กว้างและยาว 24 เมตร ตรงกลางมีโดมสูงประดับประดา ด้วยลวดลายตะวันตกแบบโรมัน ด้านบนสุดทำขึ้นเป็นยอดด้านนอก และมีสัญลักษณ์กากบาทอยู่ตรงกลางยอดโดม อันแทนคติธรรมอิทธิบาทสี่ อันคือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ซึ่งเป็นธรรมแห่งความสำเร็จทั้งปวง
ด้านในเป็นที่มณฑปที่ตั้งของสรีระสังขารที่ไม่เน่าเปื่อยของพระครูธำรงโพธิเขตหรือหลวงปู่โสฬสยโสธโรพระเกจิอาจารย์ชื่อดังเป็นที่พึ่งของญาติโยมและสาธุชนทั้งหลายไม่ด้อยไปกว่าอดีตพระเกจิรุ่นก่อนๆเลยแม้แต่น้อยอาคมขลังพลังจิตกล้าแกร่งเป็นที่เลื่องลือไปทั่วสารทิศ
ที่ตั้ง : ต.โพธิ์งาม อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี
32.วัดรัตนเนตตาราม
วัดนี้มีความน่าสนใจตรงที่ ผนัง กำแพง สิ่งปลูกสร้างส่วนใหญ่ในวัด จะถูกตกแต่งด้วยเปลือกหอยชนิดต่างๆ ประดับประดาทาสีสันสวยงาม
สถาปัตกรรมเหล่านี้เกิดจากแนวคิดของเจ้าอาวาสที่มีญาติโยมนำเปลือกหอยมาถวาย หากวางทิ้งไว้เฉยๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์ ท่านจึงมีแนวคิดที่จะนำมาตกแต่งภายในวัดให้สวยงาม ซึ่งการตกแต่งสถาปัตยกรรมเปลือกหอยนี้ก็เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของ พระ เณร ในวัดนี้นั่นเอง
ที่ตั้ง : ต.สำพันตา อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี
33.วัดสระแก้ว
วัดสระแก้ว วัดคู่บ้านคู่เมืองสระแก้ว มีหลวงพ่อทอง (พระครูรัตนสราธิคุณ) ได้บุกเบิกสร้างวัดขึ้นมา พร้อมทั้งความมุ่งมั่นที่จะเผยแผ่พุทธศาสนาอีกทั้งยังใช้วิชาทางการแพทย์แผนโบราณมารักษาโรคให้ชาวบ้าน เป็นที่พึ่งให้ชาวบ้านในยามเดือดร้อน
ด้วยความเสื่อมใสและแรงศรัทธาของชาวบ้าน จึงพร้อมใจกันสร้างรูปหล่อขึ้น หลังจากที่ท่านได้ละสังขารไปแล้ว พร้อมอัญเชิญมายังวิหารหลวงพ่อทอง ในวัดสระแก้ว ให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามากราบไหว้ ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลจนถึงปัจจุบัน
แต่เดิมวัดสระแก้วนั้น เป็นวัดราษฎร์ แต่เมื่อผ่านการบูรณะก็กลายเป็นวัดที่มีความสวยงามควรค่าแก่การอนุรักษ์ หลังจากนั้นจึงได้เลื่อนเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีแห่งแรกของสระแก้ว ในปี 2543 เรียกได้ว่า ใครที่อยากมาเที่ยววัดเก่าอายุยาวนานก็สามารถมาที่วัดสระแก้วแห่งนี้ได้เช่นกัน
ที่ตั้ง : ต.สระแก้ว อ.เมือง จ.สระแก้ว
34.วัดรัตนคีรี
แวะไปเที่ยวชมพร้อมนมัสการพระพุทธรูปองค์ใหญ่ และสวยงามที่ประดิษฐานอยู่ที่เขาฉกรรจ์ ณ วัดรัตนคีรี
วัดดังที่นักท่องเที่ยวทั่วไปให้ความสนใจและแวะมาท่องเที่ยวถ่ายรูปสวย ๆ พร้อมกราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลเสมอ ท่ามกลางบรรยากาศความสวยงามของธรรมชาติของตัววัดที่แทรกตัวอยู่กับหน้าผาหิน
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าชมหลายอย่าง เช่น ถ้ำที่เย็นสงบ และ สวยงาม เป็นสิ่งที่หลายคนยังไม่เคยได้เห็น เชิญชวนให้พุทธศาสนิกชนได้มาเที่ยว นมัสการและสักการบูชา กันได้เส้นทางก็สะดวกสบาย
ที่ตั้ง : 499/1 ม.6 ถ.สายสระแก้ว-จันทบุรี อ.เขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว
35.วัดถ้ำเขาฉกรรจ์
เขาหินปูนขนาดใหญ่อายุมากกว่า 4 พันปี ตั้งตระหง่านอย่างอยู่ท่ามกลางเขาหินปูนขนาดน้อยใหญ่ท่ามกลางความร่มรื่นของธรรมชาติ
วัดถ้ำเขาฉกรรจ์แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2533 มีพระอุโบสถที่เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กและกุฏิสงฆ์เป็น อาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ อีกทั้งยังมีบันได 300 ขั้นเดินไปสู่ถ้ำเขาทะลุ ภายในเป็นที่ตั้งของของพระพุทธรูปสำหรับให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปกราบไหว้เพื่อเสริมสิริมงคลให้ชีวิต รอยพระพุทธบาทจำลอง
และมีถ้ำน้อยใหญ่ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปสำรวจกว่า 12 ห้อง ชื่อของถ้ำทะลุก็บอกแล้วว่าเป็นถ้ำที่มีลักษณะเป็นช่องสองด้านทะลุเข้าหากัน ซึ่งอีกหนึ่งความสวยงามที่พลาดไม่ได้คือการเดินขึ้นไปชมทัศนียภาพของอำเภอเขาฉกรรจ์
นอกจากที่นี่เป็นวัดในพุทธศาสนานิกายมหายานที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวชั้นดีที่เผยให้เห็นทัศนียภาพที่สวยงามของอำเภอเขาฉกรรจ์ได้อย่างชัดเจนอีกด้วย เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.
ที่ตั้ง : ต.เขาฉกรรจ์ อ.เขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว
36.วัดนครธรรม
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางเข้ามานมัสการ “หลวงพ่อขาว” หรือ “หลวงพ่อปูน” พระพุทธรูปโบราณอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี ต้องไม่พลาดเดินทางมาที่ วัดนครธรรม วัดสำคัญของ จ.สระแก้ว ซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้ สร้างด้วยปูนขาวซึ่งเป็นดินขาวจากหนองดินจี่ โดดเด่นด้วยลักษณะกำลังนั่งขัดสมาธิ หน้าตักกว้าง 130.9 เซนติเมตร และสูง 199 เซนติเมตร
นอกจากนี้ภายในวิหารหลวงพ่อขาวยังประดิษฐานพระพุทธบาทจำลองและพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจาก วัดปมะดุลลาราชะมหาวิหาร เมืองรัตนปุระ ประเทศศรีลังกา กล่าวสำหรับประวัติวัดนครธรรมแห่งนี้ เดิมมีชื่อว่า “วัดสระลพ” ต่อมาเปลี่ยนเป็นชื่อวัดนครธรรมเพื่อเป็นเกียรติแก่พระครูวิวัฒน์นครธรรม ซึ่งเป็นพระภิกษุผู้มีคุณูปการต่อวัดนี้
ที่ตั้ง : ต.วัฒนานคร อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว
37.วัดสัตหีบ
มาเที่ยวสัตหีบทั้งที ก็ต้องแวะกราบสักการะหลวงพ่ออี๋ พุทธสโร หรือ พระครูวรเวทมุนี อดีตเจ้าอาวาสวัดสัตหีบ ที่เป็นที่เคารพบูชาอย่างสูงของบรรดาทหารเรือ และ ประชาชนในย่านนี้ ถึงท่านจะมรณภาพมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 แต่ชาวบ้านยังเปี่ยมด้วยความเคารพศรัทธาเรื่อยมา ปัจจุบันรูปหล่อของหลวงพ่อตั้งอยู่ภายในวิหาร นักท่องเที่ยวสามารถกราบสักการะปิดทองเพื่อความเป็นสิริมงคล
ที่ตั้ง: ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
38.วัดช่องแสมสาร
มากราบสักการะหลวงพ่อดำ พระสัมพุทธมหามุนีศรีคุณาศุภนิมิต วัดช่องแสมสาร พระพุทธรูปปางมารวิชัยสูง 5 เมตร ซึ่งตามประวัติเล่าว่าเริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2501 โดยความประสงค์ของ หลวงพ่อดำรง คุณาสโภ พระภิกษุจากจังหวัดสุพรรณบุรีซึ่งมาปักกลดจำพรรษาอยู่ที่เจดีย์เก่าในพื้นที่ตรงนี้ เดิมทีหลวงพ่อดำลงรักสีดำทั้งองค์ หลังสร้างเสร็จก็ประดิษฐานกลางแจ้งเป็นเวลานาน ก่อนปี พ.ศ. 2532 จึงมีการสร้างวิหารจัตุรมุขครอบไว้
นอกจากสักการะหลวงพ่อดำ บริเวณวัดช่องแสมสารยังเป็นจุดชมวิวทะเลแสมสารสวยมากจุดหนึ่ง มองเห็นทิวทัศน์และภูมิประเทศโดยรอบกว้างไกล
ที่ตั้ง: บ้านช่องแสมสาร ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
39.วัดละหารไร่
วัดละหารไร่ เป็นวัดเก่าแก่ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่พ.ศ. 2354 โดยมีหลวงพ่อสังข์เฒ่าเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก แต่วัดละหารไร่มาเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายจากชื่อเสียงของ หลวงปู่ทิม อิสริโก พระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่มีลูกศิษย์ลูกหาให้ความนับถือในด้านวิชาคาถาอาคม
ภายในวัดได้สร้างรูปหล่อขนาดใหญ่ทาสีทองของหลวงปู่ทิมตั้งอยู่โดดเด่นเพื่อให้ผู้ที่เลื่อมใสได้มากราบไหว้บูชา นอกจากนี้ภายในวัดซึ่งมีบริเวณกว้างขวางยังมีสิ่งที่น่าสนใจให้ชมหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นเรือนพลายแก้ว สะพานแขวน สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ รูปหล่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกมากมายให้สักการะตามความเชื่อส่วนบุคคล
ที่ตั้ง : ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง
40.วัดป่าประดู่
วัดป่าประดู่ หรือชื่อแต่เดิมมีชื่อว่า วัดป่าเลไลยก์ อยู่ในเขตเทศบาลนครระยอง ถนนสุขุมวิท เป็นวัดเก่าแก่ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาและได้รับการยกฐานะเป็นพระอารามหลวงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 สิ่งสำคัญของการมาเที่ยวที่วัดแห่งนี้นอกจากการเข้ามากราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลแล้ว ยังมีสถาปัตยกรรมตัววัดที่สวยงาม
เมื่อเดินเข้าไปชมยังภายในวิหารจะพบกับ พระนอนขนาดใหญ่ ยาว 11.95 เมตร สูง 3.60 เมตร เป็นพระพุทธไสยาสน์ซึ่งประทับอยู่ในท่านอนตะแคงซ้าย หนึ่งเดียวของระยอง ที่เดิมอยู่กลางแจ้งแต่ภายหลังต่อมาสร้างวิหารครอบเมื่อปี 2524 ศาลแห่งนี้เป็นที่เคารพนับถือของชาวเมืองและมีงานสมโภชประจำปีในช่วงตรุษจีน
ที่ตั้ง : เทศบาลนครระยอง ถ.สุขุมวิท อ.เมือง จ.ระยอง
41.พระสมุทรเจดีย์กลางน้ำ
พระเจดีย์กลางน้ำเป็นที่เคารพสักการะของชาวระยองตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน และในคืนวันเพ็ญเดือน 12 ของทุกปี ที่นี่จะมีการจัดงานประเพณี “งานห่มผ้าเจดีย์กลางน้ำ” เพื่อเป็นการสักการะ บูชาองค์พระเจดีย์ โดยมีขบวนแห่มาทางแม่น้ำซึ่งในพิธีจะมีการใช้ผ้าสีแดง ความยาว 6 ม. ห่มองค์เจดีย์ตรงเรือนทาสทรงระฆังคว่ำไว้
เมื่อเดินเข้าไปยังภายในบริเวณพระเจดีย์จะพบความสวยงามของ เจดีย์ทรงระฆังฐานกลม ส่วนยอดมีบัลลังก์สี่เหลี่ยม และเสาหานรองรับปล้องไฉน ปลียอดส่วนบนเป็นเม็ดน้ำค้าง ความสูงประมาณ 10 ม. มีระเบียงล้อมรอบองค์ระฆัง 2 ชั้น มีบันไดขึ้น 2 ข้าง ลานด้านล่างโดยรอบปูด้วยกระเบื้องดินเผา สีอิฐ ด้านหนึ่งของพระเจดีย์กลางน้ำติดลำน้ำระยอง
ส่วนอีกด้านเป็นส่วนที่ติดกับป่าชายเลน ซึ่งเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศของป่าชายเลน ภายใต้ชื่อ “ศูนย์การเรียนรู้ป่าชายเลน พระเจดีย์กลางน้ำ” มีลักษณะเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ มีระยะทางประมาณ 200 ม. เรียกได้ว่ามาที่เดียวได้เที่ยวถึง 2 ที่เลยก็ว่าได้
ที่ตั้ง : ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.ระยอง
42.วัดลุ่มมหาชัยชุมพล
“วัดลุ่มมหาชัยชุมพล” เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา ตามประวัติกล่าวว่าตั้งขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2234 ที่นี่มีศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งเด่นเป็นสง่า เป็นที่เคารพบูชาของชาวจังหวัดระยองและจังหวัดใกล้เคียง
เชื่อกันว่า สถานที่แห่งนี้ เมื่อ 250 ปีก่อน เคยเป็นสถานที่พักทัพของพระยาตากสิน ที่ยกทัพตีแหกฝ่าวงล้อมของทหารพม่าออกมาจากกรุงศรีอยุธยา และมาพักทัพที่เมืองระยอง ก่อนจะเข้าตีเมืองจันทบุรีจนแตกพ่าย และใช้เมืองจันทบุรี เป็นสถานที่รวบรวมกำลังทหาร และยกทัพเรือกลับไปขับไล่ข้าศึกออกจากแผ่นดิน และประกาศอิสรภาพได้สำเร็จ
ด้านหน้าศาลฯ มีต้นสะตือใหญ่อายุหลายร้อยปี ที่เชื่อกันว่า ต้นสะตือต้นนี้เป็นที่ผูกช้างศึก “พังคีรีบัญชร” ของพระยาตาก ที่ใช้ในการเข้าโจมตีเมืองจันทบุรี และสามารถพังประตูเมืองจันทบุรีจนทลายลง และทหารของพระยาตากกรูกันเข้าเมือง จนยึดเมืองจันทบุรีได้สำเร็จ
เชื่อกันว่าพระบารมีของพระองค์จะช่วยปกป้องคุ้มครองให้มีแต่ความสุข เป็นสิริมงคล มีชีวิตความร่มเย็นเป็นสุขและยังเชื่อกันว่าสามีภรรยาคู่ใดที่มีบุตรยาก หากมาขอพรจากศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแห่งนี้แล้วมักจะสำเร็จสมดังใจปรารถนา
ที่ตั้ง : ถ.ตากสินมหาราช ต.ท่าประดู่ อ.เมือง จ.ระยอง
43.วัดเขาบรรจบ
วัดเขาบรรจบ เป็นวัดป่าที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่บ้านทุ่งเพล รอยต่อระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาสอยดาวและเขาคิชกูฏ
บรรยากาศภายในวัดร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่มากมาย จุดศูนย์กลางเป็นพระอุโบสถที่เปิดโล่ง สร้างจากไม้ ประดับลวดลายฉลุละเอียดอ่อน นอกจากความสงบงามน่ามาไหว้พระหรือปฏิบัติธรรมแล้ว ด้านข้างพระอุโบสถด้านหนึ่งเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้เกิดช่องลอดได้ตรงกลางต้น
ส่วนอีกด้านอยู่ติดกับลำธาร ซึ่งทางวัดสร้างสะพานแขวนเชื่อมระหว่างฝั่งวัดและฝั่งอุทยานแห่งชาติเขาคิชกูฏเอาไว้ รวมทั้งมีจุดให้อาหารปลาในลำธาร สามารถมาถ่ายรูปได้สวยๆ ทั้งบนสะพานและตามโขดหินริมลำธาร
ที่ตั้ง : ต.ฉมัน อ.มะขาม จ.จันทบุรี
44.วัดตะปอนน้อย
วัดตะปอนน้อย ชมพระอุโบสถเก่าแก่ ที่มีหน้าบันไม้แกะสลักอายุกว่า 400 ปี ภายในประดิษฐานหลวงพ่อใหญ่ พร้อมด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในที่บอกเล่าเรื่องราวในยุคสมัยที่มีการติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตก โดยสันนิษฐานว่าวาดขึ้นร่วมสมัยเดียวกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ขณะที่วัดตะปอนใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กัน
นอกจากจะได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ในบริเวณวัดยังจัดเป็นตลาดโบราณ 270 ปี ที่มีทั้งพืชผัก สินค้าต่างๆ
และอาหารพื้นบ้านหากินยาก จำหน่ายในบรรยากาศย้อนยุคทุกวันเสาร์อีกด้วย เช่น ขนมควยลิง ขนมติดคอ ขนมตะไล ขนมบุหลันดั้นเมฆ ดอกทุเรียนทอด เป็นต้น นอกจากนี้ในช่วงสงกรานต์ ชุมชนบ้านตะปอนยังมีกิจกรรมอย่างการแข่งชักเย่อเกวียนพระบาท ให้ได้มาสัมผัสเอกลักษณ์ท้องถิ่นที่ไม่เหมือนใครอีกด้วย
ที่ตั้ง : อ.ขลุง จ.จันทบุรี
45.วัดมังกรบุปผาราม
วัดมังกรบุปผาราม มีชื่อเรียกในภาษาจีนว่า (เล่งฮัวยี่) สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2520 มีพื้นที่จำนวน 8 ไร่เศษ เป็นวัดในพุทธศาสนา มหายานฝ่ายจีนนิกาย มีประวัติเกี่ยวข้องกับ พระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร(สกเห็ง) ปฐมเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย เจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส (เล่งเน่ยยี่) กรุงเทพฯ และวัดจีนประชาสโมสร (เล่งฮกยี่) จังหวัดฉะเชิงเทรา ภายในวัดมีบรรยากาศที่เงียบสงบ และร่มรื่น
ซุ้มประตูวัด สร้างด้วยศิลปะจีน ลานหน้าวัดด้านนอกเป็นลานโล่งมีสนามหญ้า มีหอแปดเหลี่ยมเคียงคู่กันสองหลัง ที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสคและหินขัด เป็นลดลายต่าง ๆ สวยงาม -หอแปดเหลี่ยม หลังด้านซ้ายเป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อหลวงจีนคณาณัติจีนพรต(เย็นบุญ) อดีตปลัดขวาจีนนิกาย เจ้าอาวาสวัดทิพยวารีวิหาร และรักษาการเจ้าอาวาสวัดมังกรบุปผาราม ท่านเป็นผู้ดูแลการก่อสร้างวัดได้สำเร็จลง มรณภาพ เมื่อ พ.ศ. 2526
นอกจากนี้ยังมี วิหารพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์(กวนซีอิมผ่อสัก) ปางสหัสรหัตถ์สหัสรเนตร (พระกวนอิมปางพันมือพันตา) วิหารพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์(ตี่จั่งอ้วงผ่อสัก) วิหารบรรพบุรุษเป็นที่สาธุชนตั้งป้ายบูชาวิญญาณผู้ล่วงลับ และสถูปเจดีย์ทรงธิเบตที่บรรจุอัฐิบูรพาจารย์ด้านหลังวัด
ที่ตั้ง : ต.พลิ้ว อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี
46.วัดเขตร์นาบุญญาราม
เป็นวัดญวณก่อสร้างเป็นศิลปแบบจีนปนไทยตั้งอยู่ท่ามกลางแหล่งชุมชนกลางใจเมืองจันทบุรี มีเทศกาลบูชาดาวนพเคราะห์สืบต่อกันมาเป็นเวลาถึง 170 ปี และมีเทศกาลถือศิลกิน “เจ” เป็นประจำทุกปี
ชาวญวณได้อพยพเข้ามาในประเทศไทยโดยเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาและได้ก่อตั้งวัดเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจก่อให้เกิดพุทธศาสนนิกายมหายานฝ่ายอนัมนิกายหรือฝ่ายญวณวัดเขตร์นาบุญญารามมีชื่อเดิมคือ “วัดเพือกเดี้ยนตื่อ” ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.2377 ในสมัยรัชกาลที่3 จนมาถึงในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยุ่หัวรัชกาลที่5โปรดพระราชทานนามวัดว่า “วัดเขตร์นาบุญญาราม“
ที่ตั้ง : ต.วัดใหม่ อ.เมือง จ.จันทบุรี
47.วัดเขาสุกิม
สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2509 ด้วยแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีต่อพระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นที่บำเพ็ญภาวนาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
จากเดิมคือสถานปฏิบัติธรรมในท้องถิ่นที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “เขาอีกิม” มีพื้นที่ประมาณ 3,280 ไร่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2507 ชาวบ้านได้นิมนต์พระอาจารย์สมชายฐิตวิริโยและภิกษุสามเณรจากสำนักสงฆ์เนินดินแดงซึ่งอยู่ไม่ไกลมาจำพรรษาบนเขาอีกิมและด้วยแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีต่อพระอาจารย์สมชายฐิตวิริโยจึงมีการเริ่มก่อสร้างวัดในปีเดียวกันโดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นที่บำเพ็ญภาวนาของพุทธศาสนิกชนทั่วไปพร้อมกับสร้างโรงเรียนมัธยมวัดเขาสุกิมและโรงพยาบาลวัดเขาสุกิมเพื่อยังประโยชน์ต่อสาธารณะอีกด้วยวัดเขาสุกิมจึงเป็นวัดพัฒนาและมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจันทบุรี
สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดนี้ ได้แก่ พระประธานที่เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ติดผนัง สูง 110 นิ้ว หน้าตักกว้าง 99 นิ้ว มีซุ้มรอบองค์พระเป็นลวดลายพญานาค 9 เศียร ฐานชุกชีมีพระปรมาภิไธยย่อ ภปร. โดยมีการประดับคริสตัลสวารอฟสกี้ ที่ฐานชุกชีและซุ้มรอบองค์พระ พิพิธภัณฑ์วัดเขาสุกิม อยู่บนชั้น 3 ของตึก 60 ปีเฉลิมพระเกียรติ เป็นที่เก็บรวบรวมโบราณวัตถุจำนวนมาก เช่น พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ทั้งที่ทำด้วยศิลาและสำริด เครื่องถ้วยกระเบื้องจีนขนาดเล็กและใหญ่ ขวานหิน ฆ้อง หม้อ ไห มีด ดาบ เครื่องประดับสำริด ฯลฯ
ที่ตั้ง : ต.เขาบายศรี อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี
48.วัดปากน้ำแขมหนู
วัดสีน้ำเงิน หรือโบสถ์สีน้ำเงิน แลนมาร์คใหม่ของจันทบุรี กำลังเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวและชาวจันทบุรีกันในขณะนี้ ด้วยความที่เป็นโบสถ์ที่ตกแต่งด้วยเซรามิกสีน้ำเงิน ที่มีความสวยงาม วิจิตรปราณีต ทนต่อการกัดกร่อนของน้ำทะเลได้เป็นอย่างดี
วัดปากน้ำแขมหนู ตั้งอยู่ที่ปากน้ำแขมหนู ในบริเวณนี้เป็นหมู่บ้านที่ทำอาชีพการประมงเป็นส่วนใหญ่ ถ้ามาไหว้พระเยี่ยมชมโบสถ์ที่นี่แล้ว ก็ยังได้เห็นวิถีชีวิตชาวบ้าน ชาวประมงในบริเวณนี้อีกด้วย
ที่ตั้ง : ต.ตะกาดเง้า อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี
49.วัดทองทั่ว
วัดทองทั่วเป็นวัดเก่าแก่ไม่มีหลักฐานชัดเจนถึงปี พ.ศ. ที่สร้าง เมื่อประมวลหลักฐานและพิจารณาจากสภาพแวดล้อมทั่วไป วัดทองทั่วอาจสร้างในยุคที่เมืองจันทบุรียังตั้งอยู่ในแถบนี้โดยเจ้าผู้ครองนครองค์ใดองค์หนึ่ง และสร้างต่อๆ กันมา อุโบสถหลังเก่านี้น่าจะสร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สังเกตได้จากลายปูนปั้นประดับเป็นซุ้มโค้งเหนือกรอบประตูและหน้าต่าง ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในสมัยดังกล่าว ภายหลังที่ได้สร้างอุโบสถหลังใหม่แล้ว อุโบสถหลังเก่านี้ได้ใช้เป็นที่เก็บโบราณวัตถุ เช่นทับหลังลวดลายต่างๆ ศิลปะขอมยุคถาลาบริวัตและไพรกเมงที่นำมาจากเมืองเพนียด
นอกจากนี้ ภายในวัดยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์โบราณสถานเมืองเพนียด วัดทองทั่ว ซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงโบราณวัตถุที่พบที่เมืองเพนียด มีโบราณวัตถุชิ้นสำคัญหลายชิ้น บางชิ้นมีอายุนับพันปี บ่งบอกถึงความเป็นมาที่เก่าแก่ของเมืองโบราณเพนียด ที่มีมาตั้งแต่ครั้งสมัยขอมโบราณ โดยวัตถุโบราณชิ้นสำคัญที่ถือเป็นไฮไลท์ในพิพิธภัณฑ์คือ ทับหลังในรูปแบบศิลปะเขมรโบราณ แบบถาลาบริวัต ซึ่งนับได้ว่าเป็นยุคที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่ค้นพบมา
ที่ตั้ง : ต.คลองนารายณ์ อ.เมือง จ.จันทบุรี
50.วัดโยธานิมิต
หรือวัดโบสถ์ เป็นวัดเก่าแก่ของเมืองตราด สร้างขึ้นเมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมาทรงรวบรวมไพร่พลที่เมือง ตราด เพื่อกอบกู้อิสรภาพของกรุงศรีอยุธยา แต่มาแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อครั้งเจ้าพระยาบดินทร์เดชาเป็นแม่ทัพมาตั้งมั่นเตรียมรับศึกญวน ชาวตราดนิยมเรียกกันว่า วัดโบสถ์ เพราะมีพระอุโบสถสวยงามจนเป็นที่เล่าลือ เคยเป็นสถานที่ถือน้ำพิพัฒน์สัตยามาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 3
สิ่งสำคัญภายในวัดคือ วิหารโยธานิมิตร หรือ พระอุโบสถเก่าที่มีจิตรกรรมเล่าเรื่อง พระเวสสันดรชาดก ปัจจุบันเป็นสถานที่เก็บโบราณวัตถุ เช่น รอยพระพุทธบาท ตู้ลายรดน้ำ นอกจากนี้ยังมีพระเจดีย์ สวนไทร และอุทยานการศึกษาและอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินอีกด้วย
ที่ตั้ง: ถ.เทศบาล 4 อ.เมือง จ.ตราด